ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บ่งชัดแล้วว่า การรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายและการดื่มน้ำที่พอเพียงมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ความชุ่มชื้นเป็นตัวช่วยหล่อลื่นและลดแรงกระแทกระหว่างข้อต่อต่าง ๆ ปกป้องเนื้อเยื่อที่บอบบางของร่างกาย ระบายของเสีย ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน และทำให้ผิวพรรณสุขภาพดีขึ้นด้วย!
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำดื่มที่ดีที่สุดต่อสุขภาพมีอยู่จริง? หรือแค่ดื่มน้ำสะอาดอาจไม่เพียงพออีกต่อไป ในยุคที่น้ำดื่มมีให้เลือกหลายชนิดในท้องตลาด ทั้งน้ำที่มาจากแหล่งธรรมชาติ (spring) น้ำที่ผ่านการกรอง (purified) น้ำแร่ (mineral) น้ำบาดาล (artesian) หรือน้ำด่าง (alkaline) ถึงเวลาแล้วหรือยังที่คุณควรตั้งคำถามว่า น้ำชนิดไหนที่คุณคิดว่าดีที่สุดต่อร่างกาย?
เราคงหาคำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ ด้วยเหตุผลทางความชอบของแต่ละคน จึงต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อจะได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้น ดร. Eddie Fatakhov อายุรแพทย์และนักโภชนาการ ประจำศูนย์การแพทย์ผสมผสานในเมือง Alpharetta รัฐ Georgia กล่าวว่า “ถ้าเทียบในเรื่องของความคุ้มค่า ผมเลือกน้ำที่มาจากแหล่งกำเนิดธรรมชาติ เพราะผมรู้ว่ามันมาจากธรรมชาตินั่นเอง”
อะไรคือความแตกต่างระหว่าง น้ำที่มาจากแหล่งกำเนิดธรรมชาติ น้ำกรองหรือน้ำที่ผ่านการกรองแล้ว น้ำแร่ น้ำบาดาล
องค์กร International Bottled Water Association กล่าวว่า
น้ำที่มาจากแหล่งกำเนิดธรรมชาติ ได้จากแหล่งกำเนิดใต้ดินที่ต้องมาจากแหล่งกำเนิดหรือผ่านทางหลุมที่เจาะผ่านแหล่งกำเนิดทางธรรมชาติเท่านั้น ทั้งยังได้ให้คำจำกัดความของ
น้ำกรอง เป็นน้ำที่ผ่านกระบวนการกลั่นกรองมาเป็นอย่างดี ปราศจากไออน เพื่อให้ได้มาตรฐานก่อนนำไปจัดจำหน่าย
น้ำแร่ เป็นน้ำที่ได้จากธรรมชาติมีระดับความสมดุลของแร่ธาตุในตัวเอง ซึ่งประกอบไปด้วยปริมาณของของแข็งที่ละลายอยู่ในน้ำ ไม่น้อยกว่า 250 ส่วนต่อ TDS (ย่อมาจาก Total Dissolved Solids) และไม่มีการใส่แร่ธาตุอื่น ๆ ลงไป
น้ำบาดาล เป็นน้ำที่ได้จากบ่อน้ำบาดาล ซึ่งสะสมตัวอยู่ตามรอยแยกของชั้นหินหรือเม็ดทรายใต้ผิวน้ำ
นอกจากนี้เราอาจจะเคยพบ น้ำด่าง ที่อยู่ตามชั้นวางจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ต น้ำด่างคือน้ำที่มีค่า pH สูงกว่าน้ำประปา ค่า pH จะเป็นตัวกำหนดความเป็นกรดด่างของน้ำ โดยค่า pH มาตรฐานจะอยู่ที่ 7 ยิ่งค่า pH สูงเท่าไรก็มีความเป็นด่างมากเท่านั้น ส่วนค่า pH ที่ต่ำกว่าจะมีความเป็นกรดมากขึ้น
Melina Malkani นักโภชนาการกำหนดอาหาร และโฆษกประจำ The Academy of Nutrition and Dietetics กล่าวกับ CNN เมื่อมกราคมที่ผ่านมา (2019) ว่า น้ำประปามีค่า pH อยู่ที่ประมาณ 7 ส่วนน้ำด่างมีค่า pH อยู่ที่ราว ๆ 8 หรือ 9 ส่วนน้ำด่างจะมีคุณประโยชน์ที่พิเศษต่อสุขภาพหรือไม่นั้นยังไม่มีหลักฐานมากนัก ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวอ้างถึงการสนับสนุนทางสุขภาพที่เกิดจากน้ำด่างหรือการแย้งในเรื่องดังกล่าว หากจะกล่าวง่าย ๆ คือยังไม่มีการตัดสินหรือเห็นพ้องใด ๆ ถ้าระบบต่าง ๆ ของร่างกายทำหน้าที่ตามปกติอย่างที่ควรเป็น ค่าของ pH ในเลือดจะไม่แตกต่างกันมากเกินไป
ดังนั้น น่าจะเป็นความเข้าใจผิดที่ดื่มน้ำด่างแล้วจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อค่า pH ในร่างกายของเรา ความเจ็บป่วยเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ระดับ pH ในร่างกายเปลี่ยนแปลง โรคเบาหวานทำให้เลือดมีความเป็นกรดมากขึ้น ส่วนโรคที่เกี่ยวกับไตจะทำให้เลือดมีความเป็นด่างมากขึ้น อาหารบางชนิดรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนม ก็สามารถทำให้เลือดมีความเป็นกรดมากขึ้นเช่นกัน
เป็นธรรมดาที่บริษัทบางแห่งจะอ้างว่าเป็นผู้ผลิตน้ำด่างขึ้นมา แต่ในความเป็นจริงแล้วน้ำด่างสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่นกัน โดยผ่านการที่น้ำดูดซับแร่ธาตุต่าง ๆ จากแหล่งกำเนิดน้ำตามธรรมชาติ หรือเมื่อน้ำผ่านหินตะกอนตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ในเรื่องนี้ Malkani กล่าวว่า สารประกอบอัลคาไลน์หรือน้ำด่างนั้นประกอบด้วยเกลือและธาตุเหล็ก เมื่อเติมลงไปในน้ำจะทำให้มันมีความสมดุลพอเหมาะมากขึ้น
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพในตอนนี้เห็นตรงกันว่า การที่เราดื่มน้ำให้เพียงพอมีความสำคัญมากกว่าชนิดของน้ำที่เราชอบหรือต้องการ
สำนักวิชาการวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และการแพทย์แห่งชาติ แนะนำว่า ผู้ชายควรดื่มน้ำประมาณ 3.7 ลิตรต่อวัน (125 ออนซ์) ส่วนผู้หญิงควรดื่มน้ำประมาณ 2.7 ลิตร (91 ออนซ์) น้ำที่ดื่มนั้นสามารถมาจากเครื่องดื่มชนิดต่าง ๆ และอาหารประเภทต่าง ๆ ก็ได้ พูดง่าย ๆ ก็คือผู้ชายควรดื่มน้ำ 15 แก้วต่อวัน ส่วนผู้หญิงควรดื่มน้ำ 11 แก้วต่อวัน ซึ่งจะต่างจากความเชื่อในอดีตที่ว่าเราควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน Fatakhov กล่าว
ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรจำเป็นต้องดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับร่างกายตามคำแนะนำของ Mayo Clinic ซึ่งอ้างอิงมาจากสำนักงานสุขภาพสตรี (Office on Women’s Health) ที่แนะนำให้ผู้หญิงที่ให้นมบุตรดื่มน้ำประมาณ 13 แก้วต่อวัน
“ชาวอเมริกันขาดน้ำในร่างกายมาก” Fatakhov กล่าวและนั่นเป็นปัญหาได้เพราะ “83% ของปอดของคุณประกอบไปด้วยน้ำ หัวใจและสมองประกอบไปด้วยน้ำ 73% กระดูกของเรามีน้ำอยู่ประมาณ 31% ไตและกล้ามเนื้อประกอบไปด้วยน้ำ ประมาณ 76% พูดง่าย ๆ คือร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำนั้นเอง”
น้ำช่วยเพิ่มพลังงาน
น้ำไม่เพียงแต่มีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักของเราได้อีกด้วย งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Annals of Family Medicine ในปี พ.ศ.2559 พบว่า มีความสัมพันธ์ที่สำคัญระหว่างการไม่ดื่มน้ำอย่างเพียงพอกับการมีดัชนีมวลกายสูงหรือที่เรียกกันว่า BMI (Body Mass Index) ค่าดัชนีมวลกายคำนวณได้จากความสูงและน้ำหนักของบุคคล การมีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่ 30 ขึ้นไปนั้นจัดอยู่ในประเภทของโรคอ้วน
งานศึกษาวิจัยนี้ใช้ข้อมูลจากคน 9,528 คนอายุระหว่าง 18-64 ปี ซึ่งได้รับการวัดระดับความชุ่มชื้นจากการเก็บตัวอย่างของปัสสาวะ พบว่าการดื่มน้ำไม่เพียงพอนั้นมีแนวโน้มที่จะมีค่าดัชนีมวลกายสูงขึ้นและมีโอกาสเป็นโรคอ้วนสูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ที่ดื่มน้ำเพียงพอ
น้ำสามารถช่วยเราควบคุมน้ำหนักได้เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ ทำให้เรารู้ได้ว่าเมื่อไหร่ที่เราหิวจริง ๆ นอกจากนี้ยังสามารถช่วยเพิ่มการเผาผลาญและพลังงานของเราได้ด้วย
“เนื่องจากว่าร่างกายของเราประกอบไปด้วยน้ำ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมร่างกายของเราต้องการน้ำเพื่อนำให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณรู้สึกเหนื่อยหรืออ่อนเพลียในช่วงบ่าย ๆ ของวัน ให้ดื่มน้ำหนึ่งแก้วเพื่อเพิ่มระดับพลังงานของคุณ” Fatakhov กล่าว
Fatakhov กล่าวต่อไปว่า “ลองคิดดูว่า ผมจะบอกให้คุณดื่มน้ำและคุณก็ดื่มน้ำไป ร่างกายของคุณจะต้องแปลงน้ำให้อยู่ในระดับของอุณหภูมิในร่างกายของคุณ ดังนั้นถ้าคุณดื่มน้ำเย็นร่างกายของคุณก็จะต้องเปลี่ยนกลับเป็นอุณหภูมิของร่างกาย เขาจึงบอกว่าการดื่มน้ำเย็นดีกว่าน้ำร้อนหากคุณพยายามจะเผาผลาญแคลอรี่”
ขอบคุณที่มาของบทความ : CnnHealth