คุณอาจจะคิดว่า แค่ดื่มน้ำเปล่าให้มากสัก 2-3 ลิตรต่อวันก็ดีต่อสุขภาพแล้วล่ะ หลายคนยังนับรวมชา กาแฟ ชานมไข่มุก น้ำอัดลม น้ำผลไม้ หรือแม้แต่แอลกอฮอลล์ เป็นการเติมน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการร่างกาย บางคนดื่มน้ำอัดลมและน้ำผลไม้แทนน้ำเปล่าเลยก็มี ทั้งที่น้ำเหล่านั้นมีความเป็นกรด-ด่างสูงและน้ำตาลเกินความต้องการของร่างกาย การดื่มน้ำบางประเภทยังส่งผลให้ร่างกายเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง อาทิ เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ โรคไต และโรคอ้วน
ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน นักวิจัยดีเด่นสภาวิจัยแห่งชาติ กล่าวไว้ในบทความเรื่อง “น้ำดื่มในอุดมคติ” ว่า น้ำดื่มมีความสัมพันธ์ต่อความเจ็บป่วยและความชรา ร่างกายจะสามารถต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บและชะลอความชราได้ต้องอาศัยน้ำดื่มที่มีคุณภาพ น้ำยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเลือดถึง 92% โดยเลือดจะนำพาสารอาหาร 5 หมู่ สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ออกซิเจน รวมทั้งเอนไซม์ (Enzyme) ไปให้เซลล์ต่าง ๆ ทั้งยังปกป้องเซลล์ผ่านทางน้ำที่จะละลายสารพิษออกมา เพื่อนำไปทำลายที่ตับหรือทิ้งออกไปนอกร่างกายในรูปของอุจจาระ ปัสสาวะ และเหงื่อนั่นเอง
4 เทคนิคเลือกน้ำดื่มในอุดมคติจากนี้ จะช่วยให้คุณอ่านฉลากข้างขวดน้ำดื่มอย่างคนรู้เท่าทัน และเข้าใจคาแร็กเตอร์ของน้ำดื่มที่คู่ควรต่อสุขภาพ ใช่ว่าอยากจะดื่มน้ำอะไรก็ดื่ม ๆ ไปเถอะขอแค่ดื่มน้ำสะอาดก็เหมือนกันหมดนั่นล่ะ เพราะแม้แต่น้ำดื่มขวดละ 7 บาทที่เราซื้อกันตามมินิมาร์ทยังมีการเติมแร่ธาตุบางชนิดลงไปให้น้ำมีรสชาติ ก่อนจะเชื่อคำโฆษณาเรื่องการดื่มน้ำต้านมะเร็งหรือโรคร้ายแรงในครั้งต่อไป คุณต้องเข้าใจสุขภาพของตัวเองเช่นกัน
สังเกตปริมาณ Total Dissolved Solid
TDS ย่อมาจาก “Total Dissolved Solid” หรือปริมาณของแข็งหรือแร่ธาตุที่เป็นสารอนินทรีย์และสารอินทรีย์ที่ละลายน้ำในรูปแบบโมเลกุลแขวนลอย ไอออนไนซ์ หรือ micro-granular ทำให้น้ำมีความขุ่น กระด้าง และมีผลต่อรสชาติของน้ำ ปริมาณ TDS ยังส่งผลต่อการเกิดโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย นอกจากนี้ TDS ยังบ่งบอกถึงปริมาณแร่ธาตุที่พบในน้ำ ได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม โซเดียม (ประจุบวก) รวมถึงคาร์บอเนตไนเตรต ไบคาร์บอเนต คลอไรด์ และซัลเฟต (ประจุลบ) นิยมวัดค่าเป็นหน่วย ppm ที่ย่อมาจาก Parts per Million หรือมิลลิกรัมต่อลิตร โดยน้ำจืดจะมี TDS น้อยกว่า 1,500 mg / L น้ำกร่อยมี TDS ราว 1,500 ถึง 5,000 mg / L และน้ำเกลือมี TDS มากกว่า 5,000 mg / L ขึ้นไป
สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ (Environmental Protection Agency หรือ EPA) ระบุว่า ปริมาณ TDS ในน้ำดื่มควรต่ำกว่า 500 มิลลิกรัมต่อลิตร โดยเฉพาะน้ำที่มีค่า TDS ต่ำกว่า 300 mg / L ถือเป็นน้ำที่ดีที่สุดสำหรับการบริโภคเลยทีเดียว เพราะยิ่ง TDS สูงจะส่งผลต่อระบบการทำงานของไตและทำให้เกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ เนื่องจากตะกอนหรือแร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำสูงเกินความต้องการของร่างกาย ทำให้ไตทำงานหนักขึ้นเพื่อขจัดออกมาและอาจตกค้างเป็นก้อนนิ่วในที่สุด ดังนั้น น้ำดื่มที่มีค่า TDS ต่ำจะบ่งบอกความบริสุทธิ์และปริมาณแร่ธาตุต่ำ ซึ่งทำให้น้ำมีรสจืด ไม่กระด้าง และน่ารื่นรมย์มากกว่า

ว่าแต่ TDS ในน้ำมาจากแหล่งไหนกันบ้าง?
- น้ำจากการเกษตร
- น้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม
- น้ำบาดาล
- ท่อประปา
- เกลือและโลหะหนักบนท้องถนน
- น้ำทะเลปนเปื้อน
- น้ำเน่าเสียจากแหล่งน้ำต่าง ๆ
- สารเคมีที่ใช้ในการบำบัดน้ำประปา
ขณะที่ค่า TDS ของน้ำที่ได้จากแหล่งธรรมชาติ เช่น น้ำแร่จากภูเขา จะมีปริมาณ TDS ค่อนข้างต่ำประมาณ 50-400 mg / L ในปัจจุบันน้ำแร่ที่ได้จากแหล่งฟยอร์ดของประเทศนอร์เวย์มีค่า TDS ต่ำที่สุดในโลกเพียง 13 mg / L ถือเป็นน้ำดื่มที่สะอาดที่สุด ทั้งยังอยู่ภายใต้การควบคุมการผลิตโดยรัฐบาลแห่งนอร์เวย์ เพื่อให้แหล่งน้ำยังคงความบริสุทธิ์ตามธรรมชาติ ปราศจากการสัมผัสหรือปนเปื้อนจากกิจกรรมใด ๆ ของมนุษย์ น้ำแร่ที่ได้จากฟยอร์ดจะพัดพาตะกอนและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่ทับถมนานนับพันปีตั้งแต่ยุคน้ำแข็งไหลลงมาตามหุบเขาหิมะ ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องกรองน้ำขนาดมหึมาและมีปริมาณแร่ธาตุต่าง ๆ ในระดับที่เหมาะสมต่อร่างกาย

ค่า pH ของน้ำดื่มส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย?
ค่า pH ย่อมาจาก Power of Hydrogen หรือการวัดความเป็นกรด-ด่าง มีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 14 โดยยึดความเป็นกลางของ pH อยู่ที่ระดับ 7 ดังนั้น น้ำที่มีค่า pH ต่ำกว่านี้จะมีความเป็นกรด (ยิ่งตัวเลขต่ำมากยิ่งมีความเป็นกรดสูง) ในทางตรงกันข้ามน้ำที่มีค่า pH สูงกว่า 7 จะมีฤทธิ์เป็นด่างหรืออัลคาไลน์ ขณะที่น้ำบริสุทธิ์มีค่า pH 7 โดยธรรมชาติแล้วร่างกายของคนเราจะคงรักษาระดับ pH ในร่างกายอยู่ที่ 7.4 เพื่อให้เหมาะสมต่อระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย
โดยทั่วไปน้ำที่ได้จากแหล่งธรรมชาติบริเวณผิวดินและน้ำใต้ดินหรือที่รู้จักกันดีว่า “น้ำแร่ธรรมชาติ” มีค่า pH ระหว่าง 6.5 ถึง 8.5 ซึ่งเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของปลาและสัตว์น้ำหลายชนิดที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและองค์ประกอบของน้ำ รวมถึงเหมาะสมต่อร่างกายของคนเรา ขณะที่ค่า pH ของน้ำในลำธารและทะเลสาปเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7 ส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศบริเวณนั้น ทว่าเมื่อค่า pH ลดลงส่งผลให้น้ำมีความเป็นกรดมากขึ้นสิ่งมีชีวิตในน้ำจะตายลง เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ค่าความเป็นกรด-ด่างของน้ำดื่มมีความสำคัญต่อสุขภาพของคนเรา

ค่า pH ยังส่งผลต่อระบบไหลเวียนของเลือดภายในร่างกาย อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ ที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อการพัฒนาแพทย์ทางเลือกประเทศไทย ระบุว่า หากร่างกายมีค่า pH ต่ำกว่า 7 จะส่งผลให้ความเป็นกรดในเลือดสูง ออกซิเจนต่ำ และแคลเซียมในเลือดสูง เพราะกรดจะไปละลายแคลเซียมในกระดูกออกมาส่งผลให้เสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน ในทางตรงกันข้ามหากร่างกายมีค่า pH สูงหรือมีความเป็นด่างในเลือดสูงจะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย
นอกจากนี้ หากเลือดมีค่า pH สูงเกินไปยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย นายแพทย์ Otto Warburg เจ้าของรางวัลโนเบล (Nobel Prize) สาขาการแพทย์ผู้ค้นพบว่า เนื้องอกชอบอาศัยในที่ไม่มีอากาศ สรุปว่า เนื้องอก (หมายถึงมะเร็ง) ชอบเกิดในที่ที่ปราศจากออกซิเจน (Cancer occurs in the absence of free Oxygen) การค้นพบในปี ค.ศ. 1932 ส่งผลให้เขาได้รับรางวัลโนเบลเพราะผลของการศึกษาของนายแพทย์วอร์เบิร์กพบว่า มะเร็งเกิดขึ้นในสภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจน ดังนั้น น้ำที่มีความเป็นกรดสูงเกินไป เช่น น้ำอัดลมที่มีค่า pH เฉลี่ยอยู่ที่ 2-3 จึงส่งผลให้เลือดมีความเป็นกรดสูง ปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง หากบริโภคเป็นประจำส่งผลให้ฟันผุ กระดูกพรุน เสี่ยงต่อการเกิดเนื้องอกและมะเร็งในที่สุด
ปริมาณ “แร่ธาตุ” ยิ่งเยอะยิ่งดี…จริงหรือ?
เดี๋ยวนี้น้ำดื่มหลายยี่ห้อมีการเติมส่วนผสมของแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายลงไปในน้ำดื่ม ส่งผลให้น้ำมีรสชาติและคาแร็กเตอร์แตกต่างกันไป ทั้งที่โดยปกติแล้วคนเราได้รับแร่ธาตุจากการรับประทานอาหาร ผักสด และผลไม้อยู่แล้ว ดังนั้น น้ำดื่มที่เติมแร่ธาตุบางชนิดสูงกว่ายี่ห้ออื่น ๆ อาจส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมของแร่ธาตุที่มากเกินจำเป็น
แร่ธาตุที่ได้จากน้ำแร่ธรรมชาติจะแตกต่างจากแร่ธาตุที่เติมลงในน้ำดื่มสะอาดหรือน้ำแร่เทียม ได้แก่ แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และกำมะถัน ส่วนจะมีแร่ธาตุชนิดไหนมากกว่ากันขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของน้ำ ถ้าน้ำมีรสเค็มบ่งบอกว่า มีปริมาณโซเดียมมากกว่าแร่ธาตุอื่น ๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการทำงานของไตและทางเดินปัสสาวะ
ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน ยังบอกด้วยว่า น้ำดื่มบรรจุขวดที่วางจำหน่ายทั่วไปร้อยละ 25 ผลิตจากน้ำประปาที่นำมาปรับปรุงคุณภาพเพียงเล็กน้อย โดยในน้ำประปามีคลอรีนซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียแต่ก่อให้เกิดสารพิษชื่อ “ไตฮาโลมีเทน” (Trihalomethanes-THM) ซึ่งเกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในธรรมชาติที่ละลายอยู่ในน้ำ ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โลหิตจาง มะเร็งลำไส้ใหญ่ สมองเสื่อม เป็นต้น
แต่ใช่ว่าน้ำแร่ที่มาจากธรรมชาติจะดีต่อร่างกายเสมอไป สำหรับผู้ป่วยโรคไตหรือผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงน้ำแร่และน้ำดื่มที่มี “โซเดียม” สูง (ร่างกายต้องการเพียง 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยร่างกายได้รับโซเดียมจากอาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว อาหารแช่แข็ง ผัก ผลไม้ ฯลฯ ส่งผลให้เฉลี่ยคนเราได้รับโซเดียมสูงกว่า 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน) ทำให้บวมน้ำและเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว และโลหะหนักปนเปื้อนเพราะส่งผลให้เกิดการตกตะกอนนำไปสู่ภาวะนิ่วอุดตันทางเดินปัสสาวะ ผู้ป่วยโรคหัวใจควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีปริมาณ “โพแทสเซียม” สูง ซึ่งส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ โดยค่ามาตรฐานของปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสมต่อร่างกาย (คนปกติ) ได้แก่
- ธาตุเหล็ก ไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
- แมงกานีส ไม่เกิน 0.3 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ทองแดง ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- สังกะสี ไม่เกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ซัลเฟต ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ฟลูออไรด์ ไม่เกิน 1.0 มิลลิกรัมต่อลิตร
- ไนเตรท ไม่เกิน 45 มิลลิกรัมต่อลิตร
- คลอไรด์ ไม่เกิน 200 มิลลิกรัมต่อลิตร

โครงสร้างโมเลกุลเล็ก ร่างกายดูดซึมง่ายสบายท้อง
ไม่บ่อยนักที่เราจะได้ยินคนพูดถึงโครงสร้างโมเลกุลของน้ำดื่มที่ดีต่อร่างกาย ทั้งที่โครงสร้างโมเลกุลเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับการดูดซึมเข้าสู่ระบบต่าง ๆ และเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพ บูสต์ร่างกายให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และผิวหนังชุ่มชื่น ในเรื่องนี้ ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน กล่าวว่า โครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่มีขนาดเล็กทำให้แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง เช่นเดียวกับการลำเลียงของเสียออกจากเซลล์ไปทิ้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่ได้จากแหล่งผลิตทางธรรมชาติ เช่น น้ำฝน น้ำบาดาล น้ำแร่ น้ำพุ มักจะผ่านกระบวนการกรองและบีบอัดโมเลกุลให้มีขนาดเล็กจิ๋วตามธรรมชาติ ส่งผลให้ร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่โครงสร้างโมเลกุลของน้ำที่ผ่านกระบวนการผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมและมีการเติมแร่ธาตุต่าง ๆ ลงไป ส่งผลให้โครงสร้างโมลกุลมีขนาดใหญ่ ทำให้ร่างกายต้องนำไปผ่านกระบวนการย่อยอนุภาคให้มีขนาดเล็กลง บางครั้งดื่มแล้วจะรู้สึกจุกง่าย ไม่สบายท้อง ซึ่งตรงกันข้ามกับขนาดโมเลกุลเล็กที่ดื่มแล้วเบาสบายท้อง เนื่องจากร่างกายดูดซึมไปใช้งานได้ทันที
คนที่มีผิวแห้ง ร่างกายขาดน้ำ หรือดื่มน้ำน้อย จึงควรเลือกน้ำดื่มที่มาจากแหล่งผลิตธรรมชาติ เพื่อให้ร่างกายดูดซึมน้ำไปใช้ในการทำงานของระบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายรู้สึกสดชื่นตื่นตัวอยู่เสมอ
จากนี้อยากให้คุณลองสังเกตองค์ประกอบเหล่านี้ของน้ำดื่ม เพื่อช่วยให้คุณเลือกน้ำดื่มที่เหมาะสมต่อสุขภาพและเป็นคน “ฉลาดเลือก” สิ่งที่ดีต่อร่างกายนั่นเอง
อ้างอิงบทความจาก : www.safewater.org / www.water-research.net / www.who.in.th / www.healthline.com / “น้ำในอุดมคติ” ศ.ดร.นพ. สมศักดิ์ วรคามิน