5 โรคฮิตยุคดิจิทัล ที่คนโบราณค้นพบการรักษามากว่าพันปี!

หมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) นอนไม่หลับ (Insomnia) พักผ่อนไม่เพียงพอ เครียดสะสม เมื่อยล้า อ่อนเพลีย อาหารไม่ย่อย ภูมิแพ้ ผิวพรรณไม่สดใส ฯลฯ สารพัดโรคที่คนยุคใหม่เจ็บป่วยกันมาก ที่จริงแล้วคนโบราณค้นพบการรักษามากว่าพันปี ด้วยวิถีธรรมชาติบำบัดโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เรากำลังพูดถึง ศาสตร์การบำบัดรักษาเก่าแก่ด้วยการใช้ ‘น้ำมันหอมระเหย’ หรือ Essential Oils ซึ่งเป็นศาสตร์เก่าแก่ที่มนุษย์นำมารักษาและดูแลสุขภาพตั้งแต่ยุคแรก ๆ เลยก็ว่าได้ หลักฐานเก่าแก่ที่สุดที่สืบค้นได้ในปัจจุบัน คือภาพเขียนบนผนังถ้ำของเมือง Dordogne แห่งแคว้นนูแวลากีแตน ประเทศฝรั่งเศส ที่มีอายุย้อนมากกว่า 20,000 ปี เป็นภาพของมนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์กำลังใช้กลิ่นหอมบำบัดความเจ็บป่วยควบคู่กับสมุนไพรมาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์

ก่อนที่หลักฐานจากบันทึกลำดับแรกของประวัติศาสตร์มนุษยชาติจะระบุว่า ชาวอียิปต์โบราณค้นพบพลังแห่งการบำบัดที่อยู่ในน้ำมันหอมระเหย และนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ขั้นตอนการทำมัมมี่ (นิยมใช้แฟรงคินเซนส์ มดยอบ ชินนามอน และต้นสนจูนิเปอร์) นำมาปรุงเป็นน้ำหอม กำยาน อาหาร จนถึงเคล็ดลับความงามขององค์ราชินีมาตั้งแต่ 4,500 ปีก่อนคริสตกาล

Cr: https://blueflower.us

กลิ่นหอมบอกอารมณ์ฟาโรห์

ชาวอียิปต์เชื่อว่า น้ำมันหอมระเหยแต่ละชนิดล้วนมีหน้าที่แตกต่างกันและนิยมใช้ในการบูชาเทพเจ้า โดยมี ‘แฟรงคินเซนส์’ (Frankincense) หรือผลึกกำยานจากต้น Boswellia เป็นกลิ่นหอมที่ใช้บูชาเทพเจ้ารา (Ra) เทพบิดรแห่งเทพเจ้าทั้งปวงของอียิปต์ ทั้งยังใช้ในการบำรุงผิวพรรณ ปรับสมดุลร่างกาย และผ่อนคลายความเหนื่อยล้า เช่นเดียวกับที่องค์ฟาโรห์ใช้กลิ่นหอมของแฟรงคินเซนส์และ Myrrh เป็นกลิ่นประจำกายของพระองค์

อันที่จริงฟาโรห์ค่อนข้างจะรุ่มรวยรสนิยมอยู่สักหน่อย เพราะพระองค์มีกลิ่นหอมประจำกายแตกต่างกันเพื่อบ่งบอกห้วงอารมณ์และโอกาสต่าง ๆ เช่น ยามออกรบ ว่าราชการ ร่วมรัก เข้าพิธีศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ สมุนไพรทั้งสองชนิดยังได้รับการจดบันทึกในคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า เป็นของขวัญล้ำค่าที่คหบดีนำมาถวายแด่พระเยซูในวันประสูติกาล ขณะที่ชาวอียิปต์เชื่อว่า แฟรงคินเซนส์และ Myrrh สามารถรักษาโรคผิวหนัง ลดการอักเสบ และการติดเชื้อไวรัสอีกด้วย

เทพเจ้าแห่งการรักษาและอัจฉริยะแห่งวงการแพทย์

ชาวกรีกและโรมันเป็นอารยธรรมที่ซึมซับศาสตร์บำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยมาจากชาวอียิปต์ ร่ำลือกันว่า จูเลียส ซีซาร์ ถึงกับขนน้ำหอมของชาวอียิปต์ติดมือกลับกรุงโรมเพื่อแสดงความเป็นผู้นำคนใหม่ของอียิปต์ ขณะที่ชาวอัสซีเรีย ฮีบรู และบาบิโลน เลือกที่จะใช้น้ำมันหอยระเหยในการรักษาและนำมาปรุงเป็นกลิ่นหอมบำบัด เช่นเดียวกับชาวกรีกที่ยกย่องให้ ‘แอสคลีเพียส’ (Asclepius) เป็นเทพเจ้าแห่งการแพทย์ การรักษา และการฟื้นคืนชีพ ผู้คิดค้นศาสตร์การรักษาด้วยอโรมาเธอราพีควบคู่กับสมุนไพรในการผ่าตัดมาตั้งแต่ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล

ขณะที่ฮิปโปเครติส (Hippocrates) บิดาแห่งการแพทย์แผนตะวันตก (460-370 ปีก่อนคริสตกาล) เป็นผู้พลิกโฉมหน้าศาสตร์การบำบัดด้วยน้ำมันหอมระเหยไปตลอดกาล ด้วยความเชื่อที่ว่า ความเจ็บป่วยล้วนเกิดจากพลังธรรมชาติ ทำให้เขาเริ่มศึกษาและทำการทดลองกับกลุ่มผู้ป่วยอย่างจริงจัง นอกจากนี้ เขายังนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้กับท่านวดบำบัดที่คิดค้นขึ้นอีกด้วย ทำให้น้ำมันหอมระเหยได้รับการพัฒนาและนิยมใช้กันแพร่หลายในยุโรปจนถึงปัจจุบัน

คลังความรู้คู่ “คัมภีร์อายุรเวท” ของจักรพรรดิหวงตี้

ตำราอายุรเวทของหวงตี้ หรือจักรพรรดิเหลือง (The Yellow Emperor’s Book of Internal Medicine) ได้ชื่อว่าเป็นคลังความรู้ด้านการใช้น้ำมันหอมระเหยที่เก่าแก่และละเอียดที่สุด พระองค์ทรงรวบรวมความรู้ที่ได้จากการรักษาโรคด้วยน้ำมันหอมระเหยไว้อย่างละเอียดตั้งแต่ 2697-2597 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งแพทย์จากซีกโลกตะวันตกได้ทำการวิเคราะห์และศึกษาตำราอายุรเวทของพระองค์อย่างจริงจัง และยังคงนำมาประยุกต์ใช้ควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบัน

ขณะที่ชาวอินเดียมีการใช้น้ำมันหอมระเหยในศาสตร์อายุรเวทเมื่อราว 3,000 ปีก่อน ทั้งยังรวบรวมชนิดของน้ำมันหอมระเหยได้มากกว่า 700 ชนิด น้ำมันหอมระเหยยอดนิยมที่ใช้ในการรักษาของแพทย์อินเดียโบราณ ได้แก่ Sandalwood , Coriander , Myrrh , Ginger และ Cinnamon รวมถึงคิดค้นศาสตร์การนวดด้วยน้ำมันหอมระเหยที่เลื่องชื่อด้านการผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ พร้อมบำรุงเส้นผมให้นุ่มสลวยเงางามอย่าง Indian Head (นวดศีรษะแบบอินเดีย) ที่ได้รับการบรรจุไว้ในเมนูของสปาชั้นนำทั่วโลก

Photo by Christin Hume

5 โรคคนยุคใหม่ ที่รักษาได้ด้วยอโรมาเธอราพี

จากผลการสำรวจและค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันหอมระเหยที่มีต่อการรักษาโรคของคนยุคใหม่โดย National Institutes of Health (NIH) แห่งสหรัฐอเมริกา สถาบันสาธารณสุขแห่งชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ ปัจจุบัน พบว่า น้ำมันหอมระเหยมีส่วนช่วยในการบำบัดอาการเหล่านี้ ได้แก่

  1. โรคเครียดและวิตกกังวล : งานวิจัยพบว่า 43% ของคนที่มีความเครียดและวิตกกังวล สามารถบรรเทาได้ด้วยกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย โดยเฉพาะผลึกกำยานแฟรงคินเซนส์จากประเทศโอมาน ที่ผ่านการวิจัยทางคลินิคแล้วว่า สามารถบรรเทาอาการวิตกกังวลและลดความเครียดสะสมได้เห็นผลจริง เช่นเดียวกับโรสแมรี่ ลาเวนเดอร์ และอิลัง อิลัง (กระดังงา)
  2. ปวดศีรษะและไมเกรน : จากบันทึกโบราณที่ว่า ชาวเปอร์เซียนิยมใช้น้ำมันหอมระเหยบรรเทาอาการปวดศีรษะได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในยุค s90 ที่มีการใช้ในน้ำมันหอมระเหยกลิ่น Peppermint และส่วนผสมของเอทานอลในการนวดขมับและหน้าผากของกลุ่มทดลอง ซึ่งยืนยันว่า ช่วยบรรเทาอาการได้จริง สอดคล้องกับงานวิจัยล่าสุดที่พบว่า อาการปวดศีรษะลดลงหลังใช้น้ำมันหอมระเหยจากเปปเปอร์มินท์และลาเวนเดอร์ โดยเฉพาะการใช้ควบคู่กับส่วนผสมของดอกคาโมมายล์ จะช่วยรักษาอาการปวดหัวและไมเกรนได้ดีขึ้น แบบเดียวกับการรักษาดั้งเดิมของชาวเปอร์เซีย

    Photo by Vero Photoart
  3. นอนไม่หลับและอ่อนเพลียเรื้อรัง : ปัจจุบันประชากรทั่วโลกประสบปัญหานอนไม่หลับราว 2,000 ล้านคน ส่วนประเทศไทยมีคนที่นอนไม่หลับมากกว่า 19 ล้านคน ซึ่งนำไปสู่ภาวะอ่อนเพลียเรื้อรังและซึมเศร้าได้ งานวิจัยพบว่า น้ำมันหอมระเหยของลาเวนเดอร์มีประสิทธิภาพในการช่วยให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกสุขสงบและผ่อนคลาย และเข้าสู่สภาวะหลับลึกได้อย่างรวดเร็ว เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่นอนไม่หลับ (Insomnia) หรือพักผ่อนไม่เพียงพอ
  4. ลดการอักเสบ : เป็นที่เชื่อกันมาตั้งแต่ยุคอียิปต์ จีน และอินเดียโบราณว่า น้ำมันหอมระเหยสามารถรักษาอาการอักเสบได้ จากการทดลองของ NIH พบว่า น้ำมันหอมระเหยบางชนิดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบได้ ขณะที่ไทม์ (Thyme) ออริกาโน (Origano) เมล็ดยี่หร่า (Caraway) และโรสแมรี่ มีส่วนช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายของลำไส้ใหญ่ได้
  5. ลดการติดเชื้อและลดการอักเสบของผิว : น้ำมันหอมระเหยบางชนิดมีฤทธิ์ในการต้านจุลชีพและลดการอักเสบ อาทิ เปปเปอร์มินท์และทีทรี ออยล์ ที่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ความงามเพื่อการบำรุงผิวพรรณอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน

    Photo by Kelly Sikkema

เทคนิคเลือกน้ำมันหอมระเหยที่ ‘เวิร์ค’ สำหรับคุณ

ท่ามกลางน้ำมันหอมระเหยมากมายที่มีให้เลือกในท้องตลาด จะรู้ได้อย่างไรว่า น้ำมันหอมระเหยจากแบรนด์ใดที่สกัด ‘บริสุทธิ์’ จากธรรมชาติ และจัดอยู่ใน Medical Grade (มาตรฐานทางการแพทย์) เรามีเทคนิคที่จะช่วยให้คุณเลือกน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพสูงและช่วยบำบัดโรคได้จริง

ความบริสุทธิ์ : ค้นหาน้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์จากธรรมชาติหรือออร์แกนิคเท่านั้น ไม่มีสารเติมแต่งหรือน้ำมันสังเคราะห์ใด ๆ ซึ่งน้ำมันหอมระเหยราคาถูกมักจะใช้วิธีเจือจางด้วยน้ำหอมและน้ำมันสังเคราะห์เพื่อลดต้นมุนการผลิต สังเกตง่าย ๆ ว่า น้ำมันบริสุทธิ์จะมีรายชื่อพฤกษศาสตร์ของพืช (เช่น Lavandula officinalis) มากกว่าการใช้แค่คำว่า “น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์”

คุณภาพ: น้ำมันหอมระเหยที่แท้จริง คือน้ำมันที่ผ่านกระบวนการสกัดบริสุทธิ์ ควรเลือกน้ำมันหอมระเหยปลอดสารเคมี (Chemical-free Essential Oil) ที่สกัดด้วยกระบวนการกลั่นหรือการสกัดเย็น

ชื่อเสียงของแบรนด์: เลือกซื้อน้ำมันหอมระเหยจากแบรนด์ที่มีชื่อเสียงด้านผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง และมีจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้คุณได้รับน้ำมันหอมระเหยที่มีคุณภาพและช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้