“น้ำ” ของเหลวใสที่ได้รับการยอมรับทั้งทางการแพทย์ และอยู่ในความเชื่อของคนส่วนใหญ่ว่าเป็นสารอาหารที่ดี และมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตเราจึงมักคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว” ทั้งจากในบทเรียน รวมถึงคำแนะนำบอกกล่าวของผู้คนรอบตัว
นอกจากจะเพื่อประโยชน์ของสุขภาพร่างกายแล้ว น้ำยังช่วยให้หน้าใสผิวพรรณเปล่งปลั่งอีกด้วย แต่ความจริงหนึ่งวันเราควรดื่มน้ำมากน้อยเพียงใด เราควรดื่มน้ำเปล่า? น้ำแร่? หรือน้ำชนิดไหน ถึงจะได้ประโยชน์กับร่างกายอย่างสูงสุด และช่วยให้ผิวสวยใสไม่แก่ ไม่เหี่ยว ทั้งก่อนวัยและตามวัยอย่างที่สาวๆ ทั้งหลายเกรงกลัว ลองมาติดตามเรื่องของ “น้ำ” ที่จะช่วยไขข้อข้องใจของใครหลายคนที่มักตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยในยามกระหายน้ำ
จากบางส่วนของบทวิจัยจากภาควิชาเภสัชกรรม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในเรื่องของ “น้ำทำหน้าที่กำจัดสารพิษและของเสียออกจากร่างกาย นำส่งสารอาหารและออกซิเจนให้เซล ช่วยให้เนื้อเยื่อและอวัยวะทุกส่วนชุ่มชื้นช่วยควบคุมอุณหภูมิร่างกาย
สังเกตได้จากผิวหนังและผิวหน้าของผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอทุกวัน ผิวพรรณจะมีน้ำมีนวลเปล่งปลั่ง ในทางตรงกันข้ามผู้ที่ร่างกายขาดน้ำ ผิวหน้าผิวตัวจะเหี่ยวแห้งกร้าน ที่สำคัญบางคนจะมีอาการผิวแพ้ง่ายร่วมด้วย
ร่างกายผู้ใหญ่ที่แข็งแรงจะมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60% แต่เมื่ออายุมากขึ้น น้ำในร่างกายจะลดลงเหลือประมาณ 45% การลดลงของปริมาณน้ำในร่างกายนี้อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ”
“การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงนับเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผิวหนังมากยิ่งกว่าการทาโลชั่นหรือครีมบำรุงผิวหนังเป็นประจำอีกด้วย และน้ำก็มีราคาถูกเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั่วไป”
ดังนั้นจึงสรุปได้อย่างชัดเจนว่า “น้ำ” คือสารอาหารจำเป็นมากคุณค่าที่ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรง และช่วยให้ผิวหน้า ผิวกายของเราสวยใสได้อย่างแท้จริง แต่น้ำที่ดีที่สุดคือ “น้ำแร่” อย่างที่หลายคนเข้าใจใช้หรือไม่ จากบทวิจัยเดียวกันได้กล่าวถึงน้ำแร่ว่า
“น้ำแร่ กำลังเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะน้ำแร่ที่ได้จากแหล่งธรรมชาติแท้ เพราะมีแร่ธาตุชนิดต่างๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และต้องเป็นแร่ธาตุที่ไม่ได้มาจากการเติมส่วนผสมลงไปด้วยถึงจะดีต่อร่างกายมากที่สุด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม ซัลเฟอร์ ฯลฯ นักวิจัยยังกล่าวว่า น้ำแร่ช่วยชะลอวัยของคนเราได้ ไม่เฉพาะทำให้ผิวสดใสเท่านั้น แต่ช่วยให้โรคร้ายต่าง ๆ มาเยือนเรายากขึ้น”
ขณะที่น้ำแร่จากธรรมชาติ คือน้ำบาดาลจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ซึ่งมีแร่ธาตุละลายอยู่ในน้ำ โดยหลัก ๆ จะมีแร่ธาตุอยู่ 5 ชนิด คือ แคลเซียม โซเดียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และกำมะถัน แต่จะมีแร่ชนิดใดมากน้อยเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับแหล่งของน้ำที่ได้ ซึ่งรสชาติยังแตกต่างกันด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่า “น้ำเปล่า” ที่เราดื่มทุกวันจะไม่มีแร่ธาตุใด ๆ เลย เพราะน้ำเปล่าก็มีแร่ธาตุผสมผสานอยู่เช่นเดียวกัน ซึ่งคุณสามารถดื่มน้ำเปล่าได้ตามปกติ เพราะร่างกายได้รับแร่ธาตุต่าง ๆ จากการรับประทานผัก ผลไม้ อาหารทั่วไปในแต่ละวันอยู่แล้ว
สำหรับประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของการดื่มน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำแร่ก็ตามคือ น้ำช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย
ถ้าดื่มน้ำไม่เพียงพอนอกจากจะผิวแห้งกร้าน เกิดริ้วรอยที่ดูแล้วขัดตาขัดใจ ยังทำให้ท้องผูก ระบบขับถ่ายผิดปกติ ผลที่ตามมาคือสิวเสี้ยนบนใบหน้า
เพราะเมื่อไม่มีการขับถ่ายร่างกายจะพยายามกำจัดสารพิษออกจากร่างกายทางผิวหนัง จนเกิดเป็นสิวเสี้ยนหรือสิวอักเสบ และยังบานปลายไปจนถึงการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้
ส่วนหนึ่งวันควรดื่มน้ำเท่าไรจึงจะพอเพียงและเพียงพอ เรามีวิธีการคำนวนง่ายๆ ตามหลักวิชาการที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง คือนำน้ำหนักตัวทั้งหมดมาหารด้วย 30 จะได้ผลลัพธ์เป็นปริมาณลิตรของน้ำที่เราควรดื่มให้เพียงพอในหนึ่งวัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราหนัก 60 กก. เมื่อหารด้วย 30 ผลลัพธ์ที่ได้คือ เราควรดื่มน้ำวันละไม่ต่ำกว่า 2 ลิตรนั่นเอง แต่งานนี้น้ำดื่มที่ไม่ใช่น้ำเปล่าใสสะอาดอย่างเครื่องดื่ม แอลกอฮอลล์ หรือน้ำหวาน รวมถึงชานมไข่มุกยอดฮิตไม่สามารถเอามาเอี่ยวหรือเกี่ยวกัน
สุดท้าย ที่อาจไม่ใช่เรื่องท้ายสุด เพราะเรื่องของ “น้ำ” ยังมีอีกมากมาย แต่ในส่วนของการดื่มน้ำชะลอวัยนั้น สรุปสั้นๆ แบบไม่ยุ่งยากให้มากความได้ว่า ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ส่วนใครที่อยากดื่มมาก สามารถดื่มได้ แต่สุดท้ายแล้วอยากให้ยึดคำว่า “อะไรที่มากไปก็ไม่ใช่เรื่องดี” เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ไม่น้อยสำหรับคนที่ดื่มน้ำมากเกินไป อาจส่งผลให้ตัวบวม หรือสมองบวมจนเป็นอันตรายได้ ดีที่สุดคือ “ดื่มให้พอ ดื่มให้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน” เท่านั้นเอง