จำครั้งสุดท้ายที่คุณรู้สึกถึงความละเอียดของเม็ดทรายระหว่างนิ้วเท้า ความอ่อนนุ่มของต้นหญ้าใต้เท้าเปลือยเปล่า ยามเมื่อเงยหน้ามองแสงแดดอุ่นลอดผ่านเงาไม้ใหญ่ และครั้งสุดท้ายที่คุณชมความโรแมนติกของพระอาทิตย์ตกดิน
ยามที่เรามีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ ซึมเศร้า หรือความเครียด คุณอาจจะเคยได้ยินว่า “ธรรมชาติจะเยียวยาทุกสิ่ง” แต่แท้จริงแล้วคุณกลับไม่มีเวลาที่จะไปค้นพบมวลความสุขมหาศาลที่ธรรมชาติมอบให้กับคุณ โดยไม่ต้องเสียเงิน แค่เพียงออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ในสวนสาธารณะ ปีนเขา ว่ายน้ำในทะเล คุณจะค้นพบพลังงานรูปแบบหนึ่งที่ Racheal Carson นักชีววิทยาทางทะเลและนักเขียนกล่าวว่า
“ผู้ที่พิจารณาความงามของสรรพสิ่งจะค้นพบ ‘พลังงานสำรอง’ ที่มีอยู่ตราบเท่าที่คุณมีลมหายใจ ธรรมชาติเก็บงำความลับที่ซ่อนอยู่ในพลังแห่งการเยียวยาบาดแผลทางจิตใจ ดังเช่นที่รุ่งอรุณจะมาถึงในยามเช้า ฤดูใบไม้ผลิย่อมมาเยือนหลังฤดูหนาวที่แสนทรมาน”
ธรรมชาติรักษา ‘บาดแผลแห่งรัก’ มานานหลายศตวรรษ
ความรักก่อให้เกิดความวุ่นวายสับสน และบางครั้งความรักก็ทำให้เจ็บปวดทั้งทางกายและใจเมื่อความสัมพันธ์สิ้นสุดลง แม้เราจะได้รับความรักจากครอบครัวและเพื่อนสนิท
แต่เป็นที่แน่ชัดว่า ความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันไม่อาจเยียวยาหัวใจที่แตกสลายได้ ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติสามารถเยียวยาความเจ็บปวดทางร่างกายและจิตใจมาหลายศตวรรษ
นานก่อนที่จะมีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ นักคิด นักปรัชญา สถาปนิก ผู้นำระดับโลกต่างก็เห็นความสำคัญของธรรมชาติในการฟื้นฟูพลังงานและจิตใจ อันเป็นที่มาของ ‘สวนลอยบาบิโลน’ (Hanging Garden of Babylon) ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสร้างขึ้นเมื่อหลายศตวรรษก่อน เพื่อเป็นสถานที่ผ่อนคลายและฟื้นฟูจิตใจได้อย่างดี
สวนสาธารณะขนาดมหึมาอย่าง ‘เซ็นทรัล พาร์ค’ ของนครนิวยอร์ก ได้รับการพัฒนาขึ้นช่วงกลางปี 1800 โดยภูมิสถาปนิกชื่อดัง Frederick Law Olmsted ได้รับการยกย่องในเรื่องความงามและการใช้พื้นที่สีเขียวได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาออกแบบเซ็นทรัล พาร์ค ให้เหมือนกับคุณกำลังหลุดเข้าไปในธรรมชาติที่งดงาม “พื้นที่สีเขียวจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย และความแข็งแกร่งของสติปัญญา”
ปัจจุบันมีหลักฐานยืนยันว่า สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติมีผลกระทบกับสรีรวิทยาต่อจิตใจและร่างกายของมนุษย์ นี่เป็นเหตุผลที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติกับการบำบัดเยียวยาทางอารมณ์ได้อย่างดีที่สุด
1.ธรรมชาติช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
“ป่าคอนกรีตทำลายจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์” ลี กวน ยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์กล่าว หากเขาพูดถูก ‘ธรรมชาติ’ จะฟื้นฟูจิตวิญญาณของคนเราได้อย่างแน่นอน ดังเช่นงานวิจัยของญี่ปุ่นได้ตรวจสอบผลกระทบทางกายภาพของ “การใช้ชีวิตท่ามกลางผืนป่าหรือการอาบน้ำในป่า”
โดยผู้เข้าร่วมกลุ่มหนึ่งพบว่า การเดินเข้าไปในป่า 15 นาที จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาที่สามารถวัดได้ เช่น คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ลดลง 16% ความดันโลหิตลดลง 2% และอัตราการเต้นหัวใจลดลง 4%
School of Exeter Medical School ของอังกฤษ พบผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกัน จากการทดสอบกับกลุ่มผู้เข้าร่วมการทดลองจำนวน 1,000 คน นักวิจัยพบว่า ผู้ที่ย้ายไปพักอาศัยในพื้นที่สีเขียวอย่างน้อย 3 ปีมีพัฒนาการทางสุขภาพจิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
การศึกษาอื่นจากสถาบันเดียวกันพบว่า ผู้เข้าร่วมการทดลองกว่า 10,000 คน เผยให้เห็นการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างพื้นที่สีเขียวในเมืองกับรูปแบบการใช้ชีวิตและความทุกข์ในจิตใจ ก่อนจะได้ข้อสรุปที่ว่าโดยพื้นฐานแล้วมนุษย์ควรใช้เวลาอยู่กับธรรมชาติให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพจิต
2. ธรรมชาติทำให้เรามีเมตตาทั้งต่อตนเองและผู้อื่นมากขึ้น
การศึกษาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดตีพิมพ์ในวารสารวิชาการของ National Academy of Science พบว่า การเดินท่ามกลางธรรมชาติจะช่วยลดช่วงเวลาแห่งความเสียใจอย่างมีนัยนะ
การทดลองในครั้งนี้ นักวิจัยได้ทำการสแกนสมองของอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ทั้งก่อนและหลังการเดินนาน 90 นาทีในสวนสาธารณะ เปรียบเทียบกับคนที่เดินบนถนนในเมืองที่วุ่นวาย โดยผู้เข้าร่วมทุกคนต้องจดบันทึกและให้ข้อเสนอแนะกับทีมวิจัย
ผลการทดลองพบว่าคนที่เดินเล่นในสวนสาธารณะทำให้ความเศร้าลดลง สอดคล้องกับผลการสแกนสมองที่ระดับฮอร์โมนเครียดก็ลดลงด้วย
เช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสมองและธรรมชาติจากประเทศเกาหลีใต้ ที่ใช้เครื่อง MRI สแกนสมองของอาสาสมัครกลุ่มหนึ่งที่เผชิญกับความเศร้า ส่งผลให้การไหลเวียนโลหิตและการทำงานของสมองส่วนความกลัวและความวิตกกังวลเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพวกเขาได้ไปนั่งพักริมแม่น้ำหรือสวนสาธารณะพบว่า การทำงานของสมองส่วน Insula ที่เกี่ยวกับการเอาใจใส่และเห็นใจผู้อื่นจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
3. ธรรมชาติคือ ‘ใบสั่งยา’ ของแพทย์ในอเมริกา
ครั้งหนึ่งบนเวที TED Talk โดย Dr. Nooshin Razani กุมารแพทย์ประจำโรงพยาบาล Benioff Children’s Hospital ของ UCFS School of Medicine ในโอ๊คแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในหัวข้อ ‘Prescribing Nature for Health’ อธิบายถึงการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติกับสุขภาพ ไว้ว่า “เพียงไม่กี่นาทีที่คุณเดินเข้าป่า อัตราการเต้นหัวใจจะลดลง หายใจช้าลง เหงื่อออกน้อยลง และคอร์ติซอลฮอร์โมนเริ่มลดลง”
การทดลองนี้ถูกค้นพบตั้งแต่ปี 2012 โดย Razani ผึกอบรมกุมารแพทย์ที่คลินิกแห่งหนึ่ง ให้จัดทำใบสั่งยาที่สั่งให้ผู้ป่วยเด็กจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยและทุกข์ทรมานจากความเครียดและความโดดเดี่ยวทางสังคม แพทย์ให้หนูน้อยออกไปใช้ชีวิตท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งช่วยให้ความเครียดลดลงและเธอก็มีความสุขขึ้น นอกจากนี้ Razani ยังร่วมมือกับ East Bay Regional Parks สวนสาธารณะในเมืองที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อให้บริการรับส่งครอบครัวเหล่านี้ และช่วยให้พวกเขาสามารถเดินทางไปสวนสาธาณะได้อย่างง่ายดาย
Razani กล่าวว่า “ธรรมชาติมีพลังในการรักษา เพราะมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและมันก็เป็นส่วนสำคัญในการดูแลสุขภาพและการอยู่รอดของคนเรา”
การรักษาด้วยธรรมชาติบำบัดกำลังเป็นเทรนด์การรักษาสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากการศึกษาของสถาบันทรัพยากรธรรมชาติ ประเทศฟินแลนด์ ได้กำหนดนโยบายสาธารณสุขให้ชาวเมืองใช้เวลา 5 ชั่วโมงต่อเดือน
4. ธรรมชาติลดความเสี่ยงของโรคบางชนิด
ในบทความ PsychCentral Proximity to Green Spaces Boosts Health โดยนักวิจัยจากศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย VU (Vrije Universiteit Amsterdam) ในอัมสเตอร์ดัม ได้ทำการวิเคราะห์ผู้ป่วยจำนวน 345,143 คน พบว่าคนที่พักอาศัยในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรของพื้นที่สีเขียว มีส่วนช่วยในการลดภาวะซึมเศร้า โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคทางเดินอาหาร และโรคระบบทางเดินหายใจ
นอกจากนี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังให้การยอมรับเกี่ยวกับ “ประโยชน์ของการอาศัยในพื้นที่สีเขียวและสุขภาพของเมือง” หลักฐานระบุว่า “ระบบภูมิคุ้มกันจะทำงานดีขึ้นและผ่อนคลายเมื่ออยู่ท่ามกลางธรรมชาติ”
5.ธรรมชาติช่วยเคลียร์สมองและจิตใจให้ชัดเจน
Albert Einstein กล่าวว่า “เมื่อมองลึกเข้าไปในธรรมชาติ คุณจะเข้าใจทุกอย่างดีขึ้น” สอดคล้องกับงานวิจัยของสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (The American Psychological Association) อ้างอิงการศึกษาหลายอย่างที่ยืนยันถึงความสามารถของธรรมชาติในการเยียวยาและฟื้นฟูจิตใจได้อย่างชัดเจน
การวิจัยกว่าทศวรรษของคู่สามี-ภรรยานักจิตวิทยาอย่าง สตีเฟ่น-ราเชล แคปแลน (Stephen-Rachel Kaplan) ค้นพบองค์ประกอบเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ช่วยลดความเหนื่อยล้าทางจิตใจ
การศึกษาพบว่า “การให้พนักงานออฟฟิศได้ทำงานอยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียว จะช่วยให้พวกเขามีความสุข สุขภาพดีขึ้น และมีความพอใจในชีวิตมากขึ้น”
สอดคล้องกับบทสัมภาษณ์ของฟลอเรนซ์ วิลเลียมส์ (Florence Williams) ที่ถ่ายทอดประสบการณ์ 3 วัน 2 คืนหลังจากแบกเป้เดินป่า ที่ช่วยให้เขารู้สึกผ่อนคลายและมีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มากขึ้น อันเกิดจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) โดยฟลอเรนซ์ได้เข้าร่วมการทดลองกับ David Strayer นักจิตวิทยาที่ตีพิมพ์บทความเรื่อง “This is your Brain on Nature” ลงใน National Geographic
เคล็ดลับการเยียวยาโดยธรรมชาติ
แม้ธรรมชาติจะช่วยเยียวยาความเจ็บป่วยได้ แต่ใช่ว่าทุกคนที่อาศัยอยู่ริมชายหาดหรือบนภูเขาจะมีสุขภาพแข็งแรงเสมอไป ดังนั้น คุณจะทำอย่างไรหากต้องพักอาศัยในเขตเมือง ทั้งยังหาเวลาไปท่องเที่ยวหรือค้นหาพื้นที่สีเขียวได้ยากในชีวิตประจำวัน แต่ก็มีหลายวิธีที่นักจิตวิทยาแนะนำเพื่อช่วยให้คุณใช้เวลากับธรรมชาติได้
- หากบ้านหรือที่ทำงานอยู่ใกล้กับพื้นที่สีเขียว: ลองใช้เวลาเดินเท้าสัก 15 นาทีในตอนเช้า หรือหามุมสงบๆ อยู่ใต้ต้นไม้หรือสวนสาธารณะในช่วงพักเที่ยง เพื่อฟื้นฟูจิตใจให้สุขสงบและผ่อนคลาย
- หากเส้นทางการเดินทางไปที่ทำงานปลอดภัย: ลองเปลี่ยนจากการนั่งรถแล้วขี่จักรยานไปทำงาน
- นัดประชุมนอกสถานที่ เช่น สวนสาธารณะ ร้านกาแฟที่มีพื้นที่สีเขียว รวมถึงการไป Outing ริมทะเล ภูเขา เพื่อให้พนักงานรู้สึกผ่อนคลายและเชื่อมต่อกับผู้คนที่มีความสนใจคล้ายกัน
- เปลี่ยนจากเดินห้างฯ ในวันหยุด แล้วชวนครอบครัวหรือเพื่อนสนิทไปปิคนิคในสวนสาธารณะ จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจรู้สึกผ่อนคลายอย่างแท้จริง
หนึ่งในคำแนะนำของ Rainer Maria Rilke กวีและนักเขียนนิยายชาวโบฮีเมียน-ออสเตรีย กล่าวว่า “ในทุกครั้งที่คุณยอมแพ้ คุณสามารถลุกขึ้นมาหยั่งรากได้อีกครั้งเหมือนดั่งต้นไม้”