“เชฟฮ้ง” พุฒิพงศ์ เตชมานะชัย
บุกบ้านพุทธิญา ชิมอาหารปรับสมดุลธาตุจากออร์แกนิค
ถ้าคุณกำลังมองหาร้านอาหารออร์แกนิคแท้ในทุกเมนู ตั้งแต่เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ทุกชนิด ล้วนมาจากฟาร์มออร์แกนิค 100% และเป็นร้านอาหารปรับสมดุลธาตุที่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ในเมืองไทย เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเหนื่อยล้า เครียดสะสม เจ็บป่วยง่าย หรือแม้แต่อยากกินอาหารที่ดีต่อร่างกายจริง ๆ สักครั้ง ‘บ้านสุขภาพพุทธิญา’ คือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ!
แต่ใช่ว่าคุณจะวอล์คอินเข้าไปนั่งรับประทานเหมือนร้านอื่น ๆ สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนเข้าไปเช็คอินที่ร้าน คือการโทร.จองล่วงหน้า 2-3 วัน ตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพและความชอบ 6 ข้อ ที่เหลือเชฟฮ้งจะครีเอทเมนูที่เหมาะควรกับสุขภาพให้รับประทาน ชนิดที่กลับถึงบ้านคุณจะอิ่มท้องและอิ่มใจไปหลายวัน
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพมาแรงในเมืองไทย แต่ร้านอาหารออร์แกนิคแท้ ชนิดที่เชฟและหุ้นส่วนของร้านตระเวนตามหาวัตถุดิบจากเมืองเหนือจรดแดนใต้ยังมีน้อยมากในเมืองไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคเพื่อสุขภาพที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรอินทรีย์ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร เมื่อนำมาบวกกับร้านแนว Chef’s Table ที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าได้สัมผัสกับศิลปะในการปรุงอาหารของเชฟได้อย่างใกล้ชิด ทำให้บ้านสุขภาพพุทธิญาเปรียบเสมือน ‘Hidden Gem’ ของอาหารออร์แกนิคเพื่อปรับสมดุลธาตุ และเป็นมื้ออาหารที่จะทำให้คุณสัมผัสกับความ “อิ่ม” หลากมิติ ทั้งอิ่มท้อง อิ่มบุญ และอิ่มใจในเวลาเดียวกัน
เดินเข้าไปในซอยเกษมสันต์ 2 พระราม 1 เพียงไม่กี่ก้าว คุณจะเจอกับซอยเล็ก ๆ ฝั่งขวามือและเดินต่อไปอีกเล็กน้อยคุณจะพบบ้านทาวน์เฮ้าส์สีขาวตกแต่งด้วยกระจกและไม้สีเมเปิ้ลอ่อน ป้ายสีขาวหน้าร้านเรียงตัวเป็นคำว่า “PHUTTIYA” บ่งบอกชื่อร้านบ้านสุขภาพพุทธิญา – ดูแลสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติบำบัด พุฒิพงศ์ เตชมานะชัย หรือ “เชฟฮ้ง” Founder & Chef บ้านสุขภาพพุทธิญา สวมเสื้อผ้าฝ้ายสไตล์ไทใหญ่สีน้ำตาลอ่อนกับกางเกงขาก๊วยสีน้ำตาลเข้ม ปรุงอาหารอยู่เงียบ ๆ ในห้องครัวสีฟ้า-ขาวสะอาดตา
บ้านสุขภาพพุทธิญาได้รับการตกแต่งอย่างอบอุ่นและเรียบง่าย ตามไอเดียของเชฟฮ้งที่ดัดแปลงบ้านของตัวเองเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ มีหนังสือเกี่ยวกับอาหารเพื่อสุขภาพจัดเรียงบนโต๊ะอาหารให้หยิบอ่านสะดวกสบาย ผ่อนคลายจนให้ความรู้สึกเหมือนไปกินข้าวบ้านเพื่อน
ห้องครัวและห้องอาหารขนาด 20-25 ที่นั่ง เชื่อมต่อกันได้อย่างโปร่งโล่งสบายตา เผยให้เห็นบรรยากาศระหว่างเชฟหนุ่มปรุงอาหารได้อย่างถนัดถนี่ กลิ่นหอมของข้าวโพดหวานย่างบนเตาไฟดึงดูดให้เราพุ่งตัวเข้าไปเปิดบทสนทนา เชฟฮ้งพูดคุยอย่างเป็นกันเองและเล่าถึงที่มาของมื้ออาหารตามใจเชฟ
เหตุที่เราเรียกว่า “อาหารตามใจเชฟ” เพราะธรรมเนียมของบ้านสุขภาพพุทธิญาแตกต่างจากร้านอาหารอื่น ๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามารับประทานคุณต้องบุ๊คที่นั่งล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 วัน และต้องตอบคำถามเกี่ยวกับสุขภาพและเมนูที่ชอบ 6 ข้อ เพื่อให้เชฟฮ้งดีไซน์มื้ออาหารที่เหมาะกับสุขภาพและต้องตรงกับรสนิยมได้ลงตัว
“ที่ร้านเรามีอาหารไทย ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส เมดิเตอร์เรเนียน จนถึงตะวันออกกลาง” เชฟฮ้งเล่าให้ฟังระหว่างปรุงอาหาร อันที่จริงเราเกือบจะไม่ได้กินมื้ออาหารของเขาด้วยซ้ำ หากเมื่อกว่าสิบปีก่อนเชฟฮ้งไม่ตัดสินใจเลือกก้าวตามความฝันของตัวเอง เขาเรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำตามความฝันของครอบครัว ทั้งที่จริง ๆ แล้วเขาหลงรักการทำอาหารมาตั้งแต่จำความ เด็กชายตัวน้อยเติบโตในครอบครัวคนจีนที่อาม่าเข้าครัวทำอาหารให้ลูกหลานรับประทานแทบทุกมื้อ โดยมีเด็กชายฮ้งตามไปเป็นลูกมืออยู่ในครัวเสมอ“หลังจากอาม่าเสียผมก็คิดถึงอาหารรสมืออาม่าซึ่งหากินที่ไหนก็ไม่เหมือน เลยเริ่มสนใจการทำอาหารมาตลอด และอยากเรียนทำอาหารจริงจัง
“สมัยนั้นอาชีพเชฟไม่ได้รับการยอมรับเหมือนทุกวันนี้ พ่อแม่เลยอยากให้เรียนวิศวะหรือหมอมากกว่า ผมเอนท์ฯ ติดวิศวะ แต่พอจบมาผมกลับไม่อยากทำงานวิศวะเหมือนเพื่อน ๆ แล้วก็ยังคิดถึงการเรียนทำอาหารตลอดเวลา เลยตัดสินใจไปเรียนด้านอาหารที่โอเรียนเต็ล”
ตลอดหนึ่งปี School of The Oriental Hotel Apprenticeship Programme เป็นช่วงชีวิตที่เชฟฮ้งมีความสุขและจดจำได้แทบทุกรายละเอียด หลังจบคลาสเรียนในแต่ละวันเขายังสาละวนอยู่ในครัวและเดินเข้าครัวนั้นออกครัวนี้ ราวกับเป็นโรงเรียนที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทว่าพอเรียนจบเขากลับพบกับเส้นทางที่ว่างเปล่า คราวนี้เขาตัดสินใจเดินทางไปญี่ปุ่นเพื่อค้นหา passion ครั้งใหม่ เชฟฮ้งตั้งใจไปชิมชีสเค้กร้านดังที่สุดของฮอกไกโดแต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ร้านปิดและเขาต้องกลับเมืองไทยโดยไม่ได้แม้แต่จะลิ้มลอง แต่แล้วโชคชะตาก็ทำให้เขาได้พบกับร้านชีสเค้กเจ้านั้นโดยบังเอิญตอนมาออกบูธในเมืองไทย
“ผมได้กินชีสเค้กของร้านนั้นครั้งแรกแล้วก็ตกหลุมรักเลยครับ กลับมาบ้านผมก็พยายามแกะสูตรให้รสชาติออกมาใกล้เคียงที่สุด พอทำได้ก็รู้สึกมีความสุขมาก เลยเริ่มหันมาทำเบเกอรี่จริงจังและเปิดร้านชื่อ “Custard No.4” โดยมีคัสตาร์ดไส้ต่าง ๆ เป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้าน จากนั้นเราก็มีขนมอบอื่น ๆ ตามมา” แน่นอนว่า คนรักขนมหวานยังจดจำคัสตาร์ดเนื้อนุ่มในตำนานและชูครีมแสนอร่อยได้อย่างดี เชฟฮ้งเปิดร้านขนมหวานได้ราว 5 ปีเขาก็ตัดสินใจออกเดินทางสู่ความฝันครั้งต่อไป
เชฟฮ้งเริ่มออกเดินทางเพื่อค้นหาแรงบันดาลใจและรสชาติใหม่ในต่างประเทศ สำหรับเขาแล้วการได้ตระเวนชิมอาหารต่างวัฒนธรรมช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่ไม่อยากให้สิ้นสุดลง เชฟฮ้งซึมซับอาหารประจำท้องถิ่นที่มีเอกลักษณ์ แกะสูตร และตีความใหม่ในสไตล์ของตัวเอง
ความที่เป็นชาว Introvert ความสุขของเชฟฮ้งจึงไม่ใช่การกลับมาเปิดร้านอาหารดีไซน์เก๋ในแบบที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่เป็นการทำอาหารให้คนในครอบครัวหรือคนสนิทได้ลิ้มลองต่างหากที่ทำให้เขามีความสุข และชีวิตของเขาก็พบเจอกับความว่างเปล่าบนเส้นทางสายเชฟ
เขาตัดสินใจออกบวชเพื่อค้นหาคำตอบของชีวิต และได้พบกับหมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) ผู้เปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่อการทำอาหารไปตลอดกาล “หมอเขียวสอนให้เข้าใจถึงหลักการปรุงอาหารเพื่อปรับสมดุลธาตุ (ร้อน-เย็น) ในร่างกายของคนเรา เป็นศาสตร์การแพทย์แผนจีนที่หมอเขียวศึกษาและทำการรักษากับผู้ป่วยมาตลอด จนค้นพบว่าการรักษาด้วยอาหารเป็นยามีประโยชน์สูงสุดต่อร่างกาย ปรุงให้น้อย เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติ เข้าใจสมดุลร้อน-เย็นภายในร่างกาย และเลือกกินอาหารที่ปรับสมดุลธาตุเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง”
เชฟฮ้งยังเล่าให้ฟังด้วยว่า ในแต่ละวันอาหารที่เรารับประทานมีฤทธิ์ร้อนถึงร้อยละ 90 ตั้งแต่กาแฟ ชา ของทอด ของมัน ขนมหวาน และผักสลัดบางชนิด ที่ทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้ภายใน เมื่อบวกกับสภาพอากาศร้อนจัดยิ่งทำให้เรารู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว เจ็บป่วยง่าย เพราะร่างกายมีพิษร้อนส่งผลให้ใจร้อนและขี้หงุดหงิดตามมา ขณะที่อาหารปรับสมดุลธาตุจะช่วยฟื้นฟูร่างกายให้สมดุล ปรับเมนูตามความเหมาะสมกับสภาพอากาศและธาตุภายในร่างกายของแต่ละคน เน้นผัก-ผลไม้สด ธัญพืช ปลา ปรุงให้น้อยด้วยเกลือที่มีความเป็นธรรมชาติสูงกว่าน้ำปลาหรือซีอิ้วที่ได้จากการหมักบ่ม ถึงอย่างนั้นรสชาติก็จัดจ้านถึงใจด้วยธรรมชาติได้เช่นกัน แตกต่างจากไม่ใช่อาหารคลีนแบบที่เคยฮิตกันช่วงหนึ่งในบ้านเรา
หากคุณคิดว่า “อาหารสมดุลธาตุ” หรืออาหารเพื่อสุขภาพต้องจืดชืดและน่าเบื่อเป็นแน่ ขอบอกว่าผิดถนัด! เพราะอาหารฝีมือเชฟฮ้งเต็มไปด้วยความสนุกในการครีเอท สีสันสดสวย รสชาติจัดจ้าน และส่วนผสมสำคัญที่ทำให้ทุกเมนูของบ้านสุขภาพพุทธิญาแตกต่างจาก Chef’s Table ที่อื่นในเมืองไทย นั่นคืออาหารทุกจานปรุงด้วยความรักและปรารถนาให้ผู้รับประทานมีสุขภาพแข็งแรง
“คุณลองไปดูร้านอาหารข้างทางบางร้านสิครับ ลองสังเกตสีหน้าท่าทางเวลาแม้ค้าปรุงอาหาร บางคนทะเลาะกับลูกน้องในร้านหรือทะเลาะกับคนในบ้านมา สีหน้าก็จะเคร่งเครียด ไม่ยิ้มแย้ม อาหารที่ปรุงด้วยคนที่ยังมีจิตใจขุ่นมัวหรือโกรธแค้นจะมีรสชาติที่ไม่ต่างจากอารมณ์ของคนปรุง แตกต่างจากอาหารที่ปรุงด้วยจิตกุศล อารมณ์ผ่อนคลาย ปรุงด้วยความสุขและอยากให้คนกินมีสุขภาพดี นี่คือส่วนผสมสำคัญที่เราใส่ลงไปในอาหารทุกจาน ซึ่งทำให้อาหารที่ปรุงด้วยเชฟที่มีจิตใจปลอดโปร่งมีรสชาติแฝงที่แตกต่าง หากคุณสังเกตดี ๆ นะครับ”
ข้อนี้เชฟฮ้งไม่ได้กล่าวเกินจริงแม้แต่น้อย อาหารทุกเมนูของเขาได้รับการเรียกขานตามวัตถุดิบและเทคนิคการปรุง หลังจากได้ลิ้มลอง “หลนแพนงเห็ดใบเหลียง” “โรสคอร์นแอนด์อโวคาโดสลัด” “แกงอ่อมแซ่บ” เราก็ยอมใจให้ความจัดจ้านและรสชาติเผ็ดเปรี้ยวที่ได้จากวัตถุดิบธรรมชาติ ทั้งยังคงคอนเส็ปต์ปรุงน้อยแต่อร่อยมากไว้ทุกกระเบียดนิ้ว สีหน้าท่าทางและการบรรยายเทคนิคการปรุงอาหารถือเป็นศิลปะของอาหารแนว Chef’s Table ที่ยากจะลอกเลียน หากเปรียบกันแล้วศิลปะบนจานอาหารของเชฟฮ้งแฝงไว้ด้วยปรัชญาทางพุทธศาสนาและความเป็นเซน เน้นการตกแต่งด้วยดอกไม้ที่เด็ดจากหน้าบ้านเมื่อเช้าตรู่
นอกจากนี้ อาหารที่บ้านสุขภาพพุทธิญายังเน้นวัตถุดิบสดใหม่แบบ Farm to table จากฟาร์มออร์แกนิคในเมืองไทย และหลอมรวมสมดุลพลังงานชีวิต 4 ประการเข้าด้วยกัน ได้แก่ อารมณ์ ความคิด ชีวิต และจิตวิญญาณ ทำให้บ้านหลังเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นร้านอาหารที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนที่ไหนในเมืองไทย
เมื่อคุณได้รับประทานอาหารอร่อย ดีต่อสุขภาพ และดีต่อใจอย่างแท้จริง คุณจะค้นพบความสุขและเปลี่ยนมุมมองความคิดที่มีต่ออาหารไปโดยปริยาย ตกดึกคืนนั้นเรายังรู้สึกเบาสบายและใจสงบลงอย่างประหลาด เป็นความสุขสงบที่ยังคงเจือจางอยู่ในร่างกายที่สมดุล
หากคุณรักตัวเองและอยากดูแลสุขภาพ “บ้านสุขภาพพุทธิญา” และอาหารรสมือเชฟฮ้ง เป็นหมุดหมายที่จะทำให้คุณแวะมาเยี่ยมเยือนอาหารของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า