จากผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาล ‘แอลกอฮอล์ลล้างมือ’ หรือ ‘Hand sanitizer’ กลายเป็นผลิตภัณฑ์พกพาของคนรักความสะอาด และหนึ่งในอาวุธที่มนุษย์ใช้ต่อสู้กับ Covid-19 ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามความต้องการของตลาด แต่รู้มั้ยว่า ฮีโร่สีฟ้าใสในขวดพลาสติกที่ปกป้องมนุษย์จากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย อาจเป็นภัยร้ายใกล้มือที่ทำร้ายสุขภาพอย่างที่คุณไม่คาดคิด
เพื่อทำความรู้จักแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือมากขึ้น เราต้องเข้าใจเหตุผลที่มันถือกำเนิดขึ้นบนโลก ย้อนกลับไปในปี 1966 นักศึกษาวิชาพยาบาลชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันชื่อ ‘ลูเป้ เฮอร์นันเดซ’ (Lupe Hernandez) อาศัยอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มองเห็นเชื้อโรคและแบคทีเรียมากมายที่อยู่ในโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จะนำพาเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุดก็เห็นจะเป็นมือของคนเรานี่แหละ ที่หยิบจับและสัมผัสสิ่งของต่างๆ ตลอดวัน ซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะพกสบู่และน้ำอุ่นติดตัวไปด้วยทุกที่เพื่อทำความสะอาดมือ
เธอจึงคิดค้น ‘แอลกอฮอล์ล้างมือ’ ใช้ทำความสะอาดมือได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัย ผลิตจากแอลกอฮอล์เข้มข้น 75% เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรีย เพราะแอลกอฮอล์จะทำลายพื้นผิวที่เป็นโปรตีนห่อหุ้มเชื้อโรคต่างๆ รวมถึงเชื้อไวรัส และทำให้เชื้อโรคตายในที่สุด โดยไม่คาดฝันเฮอร์นันเดซได้กลายเป็นเจ้าของสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกในปี 2002 ก่อนจะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน
จากยอดขายครั้งประวัติศาสตร์สู่การกระชากหน้ากากฮีโร่
แม้จะแจ้งเกิดในสหรัฐอเมริกา แต่สหราชอาณาจักรตอบรับแอลกอฮอล์ล้างมือจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จากผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในโรงพยาบาล ลอนดอนเนอร์ได้พัฒนาสู่แอลกอฮอล์ขนาดพกพาให้กลายเป็นไอเท็มติดกระเป๋าทุกครั้งที่ออกจากบ้าน โดยเฉพาะการระบาดของโรค H1N1 หรือ ‘ไข้หวัดหมู’ ในปี 2009 ที่ส่งผลให้ยอดขายถล่มทลายในอเมริกา ในเรื่องนี้ Nielsen บริษัทวิจัยด้านการตลาดรายงานว่า ยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 71% ภายใน 24 สัปดาห์ โดยวอลท์ ดิสนีย์ ถึงกับติดตั้งตู้จ่ายน้ำยาฆ่าเชื้อจำนวน 60 ตู้ในล็อบบี้ของโรงแรม ประตูทางเข้า เช่นเดียวกับสวนสนุกแห่งหนึ่งในรัฐฟลอริด้า
หลายปีที่ผ่านมาความหวาดกลัวต่อโรคระบาดร้ายแรง อาทิ ซาร์ส ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมู ส่งผลให้ความต้องการเจลแอลกอฮอล์ลดลงตามกาลเวลา แต่ชาวอังกฤษและอเมริกาก็ยังคุ้นเคยกับการใช้แอลกอฮอล์ล้างมือพกติดตัวทุกครั้งที่ออกจากบ้าน กระทั่งวารสารการแพทย์ของอังกฤษ (The British Medical Journal) รายงานถึงอันตรายจากการที่วัยรุ่นหลายคนดื่มแอลกอฮอล์ล้างมือให้มึนเมา เนื่องจากมันมีเอทานอลมากกว่า 60% สอดคล้องกับรายงานขององค์การอนามัยโลกหรือ WHO ที่ระบุว่า หลายแบรนด์มีการผสมกลิ่นหอมของผลไม้ลงไปจึงทำให้เด็กๆ เข้าใจผิดว่ามันเป็นเจลลี่ผลไม้และเผลอกินเข้าไป
อันตรายต่อสุขภาพและผิวพรรณของแอลกอฮอลล์ล้างมือเริ่มปรากฏหลักฐานมากขึ้น เมื่อ Dr. Ron Cutler อาจารย์อาวุโสประจำมหาวิทยาลัย Queen Mary ประเทศอังกฤษ ระบุถึงอันตรายต่อสุขภาพว่า
แม้แอลกอฮอล์ล้างมือจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้จริง ขณะเดียวกันมันก็ขจัดน้ำมันบนชั้นผิว รวมถึงทำลายแบคทีเรียดีบางตัวที่อาศัยบนผิวหนัง ทำให้ผิวระคายเคืองและแห้งแตก ส่งผลให้แบคทีเรียแทรกซึมเข้าสู่ผิวหนังได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงทำการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังและพบว่า แอลกอฮอล์ล้างมือสามารถทำปฏิกิริยาทางผิวหนังได้ 2 ประเภทหลักๆ ที่พบบ่อยที่สุดคือ ผิวแห้งกร้าน คัน ระคายเคือง ผิวลอก ผิวแตก และมีเลือดออกเรียกว่า “ผิวหนังอักเสบจากการระคายเคือง” อย่างที่สองคือผิวหนังอักเสบจากการแพ้ ซึ่งพบได้น้อยกว่าและอาจแพ้ส่วนผสมบางอย่างในผลิตภัณฑ์
เนื่องจากผิวบริเวณมือจะมีต่อมไขมันน้อยมาก ในภาวะที่เราต้องล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และแอลกอฮอล์ล้างมือจะทำให้ต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันออกมาห่อหุ้มและปกป้องผิวหนังตามธรรมชาติหลุดออก เซลล์ผิวจึงขาดน้ำ ทำให้มือเหี่ยวแห้ง แตก ลอก และบางรายถึงกับเล็บหลุดอีกด้วย หากมีอาการตุ่มหรือผื่นแดงนั่นอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อแทรกซ้อนหรือผิวอักเสบเรื้อรัง คนที่มีแผลบริเวณมือและเล็บจึงควรงดใช้เจลแอลกอฮอล์เพราะอาจทำร้ายผิวมากขึ้น ทางที่ดีควรใช้น้ำอุ่นและสบู่ล้างมือแทนจะดีกว่า
ในช่วงที่เกิดโรคระบาดส่งผลให้หลายคนมักจะล้างมือด้วยสบู่ แล้วตามด้วยแอลกอฮอล์ล้างมือทันทีเพื่อฆ่าเชื้อโรคให้ตายสนิท ในเรื่องนี้ WHO ชี้แจ้งว่า ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิด ทั้งยังอาจนำไปสู่โรคผิวหนังเรื้อรังได้ด้วย
โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงถึง 90-95% ยิ่งส่งผลกระทบต่อผิวบอบบางของเด็กๆ และคนที่ผิวแพ้ง่ายมากกว่าคนทั่วไป โดยแอลกอฮอล์ 95% จะติดไฟง่าย จึงต้องระวังอย่างมาก หากใช้แล้วมือยังไม่แห้งดีอาจเสี่ยงต่อการเกิดประกายไฟจากอุปกรณ์ทำความร้อน เช่น ไดร์เป่าผม เตาแก๊สจากการทำอาหาร เป็นต้น
ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC) ระบุว่า ที่จริงแล้วการล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่นสามารถทำความสะอาดสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีกว่าแอลกอฮอล์ล้างมือเสียอีก ซึ่งหากคุณอยู่บ้านหรือที่ทำงานแนะนำให้ล้างมือบ่อยๆ ดีกว่า
แม้แอลกอฮอล์ล้างมือจะยับยั้งแบคทีเรียและเชื้อโรคอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อใช้อย่างถูกวิธี แต่คนส่วนใหญ่มักจะใช้ในปริมาณที่ไม่มากพอ หรือเช็ดออกก่อนที่มันจะแห้งเสียอีก
นอกจากนี้ CDC ยังบอกด้วยว่า แอลกอฮอล์ล้างมืออาจขจัดเชื้อโรคบางชนิดได้ดี แต่มันไม่ช่วยทำความสะอาดมือที่เปื้อนเศษดินหรือทรายจากการทำสวน คราบเหงื่อหลังออกกำลังกาย โลหะหนัก และสารเคมีอันตราย แนะนำให้ล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่นจะช่วยทำความสะอาดได้อย่างล้ำลึก ขณะที่บางคนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์แบบ non-alcohol เพื่อลดอาการแพ้ ที่นอกจากจะไม่ช่วยฆ่าเชื้อเท่ากับแอลกอฮอล์ 60-95% แล้ว มันอาจจะแค่ลดการเติบโตของเชื้อโรคบางชนิดแทนที่จะฆ่าพวกมัน
‘Organic Alcohol’ ทางเลือกใหม่ที่ปลอดภัยและดีต่อผิว
ชื่อเสียงของ ‘Organic Alcohol’ เริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากในยุโรปเมื่อหลายปีก่อน เนื่องจากแอลกอฮอล์ชนิดนี้จะอ่อนโยนต่อผิวจึงนิยมใช้เป็นส่วนผสมในสเปรย์ทำความสะอาดมือ (Hand Spray) ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว น้ำหอม โดยเฉพาะแฮนด์สเปรย์ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ถึง 99.9% แต่ต้องมีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป
Organic Alcohol ได้จากการนำพืชออร์แกนิคมาหมักเพื่อเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล จากนั้นจึงเปลี่ยนจากน้ำตาลเป็นแอลกอฮอล์ด้วยการใช้เอนไซม์หรือกรดบางชนิดช่วยย่อย ก่อนจะนำเข้าสู่กระบวนการกลั่นให้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% ส่วนใหญ่ผลิตจากพืช 2 ประเภทคือ พืชประเภทน้ำตาล เช่น อ้อย บีทรูท และพืชจำพวกแป้ง เช่น มันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพด เป็นต้น
Organic Alcohol ปราศจากปิโตรเลียม พาราเบน พาทาเลตส์ และสารเคมีอันตราย ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งและรบกวนการทำงานของฮอร์โมน ที่เราควรหลีกเลี่ยงและมักมองข้ามเพราะมัวแต่กังวลกับปริมาณแอลกอฮอล์ จนลืมผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
แต่พืชออร์แกนิคแท้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานจากองค์กรระดับโลก อาทิ Soil Association Organic ค่อนข้างหายากและมีมูลค่าสูง ด้วยกระบวนการปลูกที่ควบคุมทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด โดยพืชออร์แกนิคที่มีชื่อเสียงในแวดวงความงามและนิยมนำมาผลิตเป็นออร์แกนิค แอลกอฮอล์ อาทิ Witch Hazel (Hamamelis Virginiana), Cinnamyl Alcohol (แอลกอฮอล์สกัดจากอบเชย) เป็นต้น ที่เกิดจากกระบวนการกลั่นให้เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
โดยเฉพาะ Witch Hazel พืชที่เติบโตทางตอนเหนือของอเมริกา ซึ่งเปี่ยมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและ ‘แทนนิน’ (Tannin) ทำหน้าที่เคลือบปกป้องผิวเหมือนแผ่นฟิล์มบางๆ จึงบำรุงผิวให้เรียบเนียน กระชับ ยืดหยุ่น ลดการอักเสบ ลดอาการแพ้และระคายเคือง สมานบาดแผล และยับยั้งแบคทีเรียบนผิวหนังได้ด้วย
นอกจากนี้ Generation z หลายคนเริ่มหันมาเป็นชาววีแกนมากขึ้น ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในยุโรป หนึ่งในนั้นคือ Neal’s Yard Remedies แบรนด์เพื่อสุขภาพและความงามจากออร์แกนิค เปิดตัวครั้งแรกในย่านโคเวนท์ การเดนท์ ประเทศอังกฤษ ย่านสุดฮิบของชาวลอนดอนเนอร์ ที่ได้รับการยกย่องจากองค์กรด้านออร์แกนิคต่างๆ และได้รับรางวัลจริยธรรมในการดำเนินธุรกิจสูงสุดเป็นลำดับแรกของโลก
แบรนด์นี้ผลิต Organic Defence Hand Spray ขึ้นและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จุดเด่นของแฮนด์สเปรย์ขวดนี้นอกจากจะช่วยฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ถึง 99.9% เพราะมี Organic Alcohol สูงกว่า 73% ขึ้นไป ทั้งยังมีส่วนผสมของเอสเซนเชี่ยลออยล์ที่ช่วยบำรุงมือให้เนียนนุ่ม ชุ่มชื่น ไม่ทำให้ผิวแห้งตึง และ Witch Hazel ลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และสมานแผลบนมือโดยไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและดีต่อผิวพรรณ
ที่สำคัญมีกลิ่นหอมจากพืชธรรมชาติที่ช่วยคลายความเครียดอีกด้วย ส่งผลให้ได้รับความนิยมในกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็กและผู้สูงอายุ เพราะไม่มีผลข้างเคียงต่อสุขภาพและทางเดินหายใจ
ยิ่งในสถานการณ์ที่ Covid-19 แพร่ระบาดไปทั่วโลก ส่งผลให้ยอดขายของผลิตภัณฑ์นี้เติบโตอย่างมาก และด้วยเหตุที่มันผลิตจากพืชออร์แกนิคที่แตกต่างจากสารเคมี ทำให้ปริมาณของวัตถุดิบค่อนข้างมีจำนวนจำกัด ขึ้นอยู่กับธรรมชาติจะสรรสร้างวัตถุดิบในแต่ละปีออกมามากน้อยเพียงไร ส่งผลให้ราคาต้นทุนการผลิตค่อนข้างสูงด้วยเหตุผลจากธรรมชาตินั่นเอง ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มองหาผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดมือจากเชื้อโรคและแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ทำร้ายผิวพรรณและส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวนั่นเอง >>
4 ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ล้างมือ
1. ทำความสะอาดได้ทุกสิ่ง: แอลกอฮอล์ล้างมือไม่สามารถขจัดสิ่งสกปรกได้ทุกชนิด ในกรณีที่มือของเราเปื้อนดิน ทราย เหงื่อไคล สารเคมีอันตราย ฯลฯ เพราะมันใช้ฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียที่ปนเปื้อนอยู่บนผิวกาย หากอยากขจัดสิ่งสกปรกอย่างล้ำลึกควรล้างมือด้วยสบู่และน้ำอุ่น หรือเช็ดมือด้วยทิชชู่เปียกจะได้ดีกว่า
2. ลดความเสี่ยงจากการเป็นไข้หวัด: แอลกอฮอล์ล้างมือไม่สามารถปกป้องคุณและลูกน้อยจากไข้หวัดได้ เพราะเชื้อโรคแพร่กระจายในอากาศและสามารถติดเชื้อผ่านทางเดินหายใจ ขณะที่การใช้แอลกอฮอล์ล้างมือเป็นการฆ่าเชื้อที่เกิดจากการสัมผัสงานวิจัยของศูนย์ควบคุมโรคแห่งสหรัฐ (CDC) ระบุว่า การใช้แอลกอฮอล์ล้างมือเป็นประจำไม่ได้ลดอัตราการเกิดไข้หวัดอย่างมีนัยยะ ดังนั้น คุณควรดูแลสุขภาพด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันจะดีกว่า
3. ล้างมือปุ๊บ หยิบขนมกินได้ทันที: แอลกอฮอล์ล้างมือที่มีส่วนผสมหลักเป็นแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป จึงเป็นอันตรายหากเข้าสู่ร่างกายผ่านการหยิบจับอาหารหรือลูบริมฝีปาก ทั้งยังอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองในช่องปากของเด็กได้ เนื่องจากเด็กๆ มักจะเอามือเข้าปากหรือหยิบจับขนมเข้าปากทันทีหลังล้างมือ ทางที่ดีควรทิ้งไว้ให้แห้งสัก 1-2 นาทีก่อนจะหยิบอาหารหรือขนมรับประทาน เพราะมันสามารถสะสมในร่างกายซึ่งเป็นอันตรายต่อตับและสมองได้ด้วย
4. ฆ่าเชื้อโรคทุกชนิด: แม้จะยังไม่มีงานวิจัยรองรับอย่างเป็นรูปธรรม แต่จากการศึกษาอย่างแพร่หลายพบว่า คนที่ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือเป็นประจำ อาจทำให้เชื้อโรคบางตัวดื้อยาและพัฒนาจนเชื้อแข็งแรงกว่าเดิมได้ ในขณะที่ร่างกายไม่ได้พัฒนาความสามารถในการต้านทานเชื้อโรค และทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง
อ้างอิงข้อมูล:
https://www.who.int/gpsc/tools/faqs/abhr2/en/ https://riatta.com.au/green-health/types-of-alcohol-in-skincare/ https://www.cdc.gov/handwashing/pdf/hand-sanitizer-factsheet.pdf https://www.cdc.gov/handwashing/show-me-the-science-hand-sanitizer.html