เคยสงสัยมั้ยว่า “กินกล้วยแบบไหน ถึงจะอายุยืน” กล้วยเป็นผลไม้ที่หาซื้อง่าย ราคาถูก และปลูกได้ทุกฤดูกาล ทั้งยังมีคุณประโยชน์มากมายที่ดีต่อสุขภาพ แต่มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า ความสุกของกล้วยนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน และส่งผลต่อร่างกายของคนเราอย่างไร?
ชายที่จริงจังกับเรื่องกล้วยๆ Ryan Pinto Advanced Sports Dietitian และ Performance Nutritionist นักโภชนาการด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา จากประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ต่างๆ ของกล้วย ไรอันพบว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นแหล่งรวมเส้นใย (ไฟเบอร์) ที่ดีต่อระบบย่อยอาหาร และทำไมการกินกล้วยที่สุกจนเกินไป จึงอาจไม่ใช่ความคิดที่ดีสำหรับทุกคน
“กล้วยสีเขียว”
แน่นอนว่ากล้วยสีเขียวคือกล้วยดิบ อุดมด้วยแป้งจึงให้เนื้อสัมผัสค่อนข้างแข็ง หนึบ และเคี้ยวยากกว่ากล้วยสุก งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า กล้วยสีเขียวเป็นแหล่งอาหารที่ดีต่อสุขภาพสำหรับบางคนเท่านั้น เพราะกล้วยสีเขียวอุดมด้วยโพแทสเซียม เส้นใย โปรไบโอติกที่ดีต่อลำไส้ และ FODMAP จึงทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานหนักขึ้น คนที่มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องผูก โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) ควรหลีกเลี่ยงการกินกล้วยดิบ เพราะอาจทำให้ท้องอืดมากขึ้น
กล้วยสีเขียวยังมีปริมาณเส้นใยที่สูงยังเหมาะกับคนที่ควบคุมน้ำหนัก เพราะเส้นใยจะช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหาร ทั้งยังมีปริมาณน้ำตาลต่ำจึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างดี แล้วยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย แต่ผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่ควรรับประทานกล้วยสีเขียวดิบๆ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
“กล้วยสีเหลือง”
กล้วยสีเหลืองหรือ ‘กล้วยสุก’ ดูจะเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับหลายๆ คน กล้วยสีเหลืองจะมีเนื้อสัมผัสนุ่ม กินง่าย และย่อยง่ายกว่ากล้วยดิบ เพราะแป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลทำให้มีรสหวาน กล้วยสุกจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่ากล้วยดิบ ทั้งยังส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าและย่อยง่ายขึ้น “เมื่อปริมาณแป้งลดลง จึงช่วยให้ระบบย่อยอาหารดูดซึมสารอาหารได้เร็วขึ้น” ไรอันกล่าว
Leanne Ward นักโภชนาการชาวออสเตรเลีย บอกว่า “ฉันมักจะกินไข่ต้มและกล้วยสุกเป็นอาหารมื้อที่สองของวัน เพราะฉันกินอาหารประมาณหกมื้อต่อวัน ควบคู่กับดื่มชาสมุนไพรและน้ำเปล่ามากกว่าสองลิตร”
“กล้วยลายจุด”
เมื่อกล้วยเริ่มมีอายุมากขึ้น มันจะเปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาลทำให้มีจุดสีน้ำตาลเล็กๆ กระจายตัวอยู่บนเปลือก ดูแล้วคล้ายกระบนใบหน้าของคนเรา ยิ่งกล้วยมีลายจุดสีน้ำตาลมากเท่าไหร่ นั่นหมายถึงปริมาณน้ำตาลยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทำให้กล้วยมีรสหวานขึ้น ขณะเดียวกันกล้วยสุกจัดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเช่นกัน ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายได้อย่างดี ทั้งยังมี Tumor Necrosis Factor (TNF) หรือสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน
“กล้วยสีน้ำตาล”
แม้กล้วยสีน้ำตาลจะสุกงอมจนไม่น่ากิน บางคนถึงกับนำไปเลี้ยงนกและให้อาหารสัตว์ แต่กล้วยสุกงอมก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพเช่นกัน เมื่อกล้วยเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งหมด บ่งบอกถึงแป้งได้เปลี่ยนเป็นน้ำตาลจึงมีรสหวานจัด ปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น โพแทสเซียมสูงขึ้น วิตามินบี 6 วิตามินซี และไฟเบอร์มากขึ้น จึงป้องกันความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายอย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดี คนที่ควบคุมน้ำตาลและน้ำหนักตัวไม่ควรรับประทานมากเกินไป เพราะอาจส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลในเลือดเช่นกัน