หลายคนคงทราบกันดีว่า ผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์ ‘ออร์แกนิก’ ปลอดภัยต่อสุขภาพและส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกซื้ออาหาร เรากลับเน้นความสะดวกและราคา เพราะผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมีราคาสูงกว่า ซึ่งหากคำนึงถึงสุขภาพและความเสี่ยงต่อมะเร็ง เราอาจต้องยอมลงทุนอีกสักหน่อยเพื่อสุขภาพที่ดี จะได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับการรักษาตัวด้วยโรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตของคนไทยมากที่สุด
การศึกษารูปแบบใหม่โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of the American Medical Association เดือนธันวาคม 2018 พบว่า การกินผักและอาหารออร์แกนิกสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้ ทีมวิจัยติดตามการกินอาหารของผู้ใหญ่เกือบ 69,000 คนในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้ที่กินอาหารออร์แกนิกมากที่สุดมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยกว่าถึงร้อยละ 25 โดยเฉพาะลดการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (Non-Hodgkin Lymphoma) ถึง 73% (มะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่พบมากในคนไทยส่วนใหญ่) และมะเร็งเต้านมหลังวัยหมดประจำเดือนลดลง 21%
นักวิจัยยังบอกด้วยว่า ผักและผลไม้จำนวนมากมักจะฉีดพ่นยาฆ่าแมลง ปุ๋ยเคมี ฮอร์โมน และยากำจัดศัตรูพืช แม้จะแช่น้ำสะอาดให้นานขึ้น หรือล้างด้วยน้ำยาล้างผัก แต่อาจมีส่วนผสมของสารเคมีอันตรายตกค้าง ได้แก่ ยากำจัดศัตรูพืชจำพวก Malathion, Diazinon และ Glyphosate รวมถึงสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืช เป็นต้น
ตรงข้ามกับการทำเกษตรแบบออร์แกนิก (อินทรีย์) ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว โดยเฉพาะเด็ก ผู้สูงอายุ และคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ทั้งยังช่วยปกป้องผืนดิน แหล่งน้ำ และอากาศ เพิ่มความสามารถของดินในการกักเก็บคาร์บอน จึงช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกยังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ 4 เหตุผลจากนี้เป็นตัวช่วยที่ดีในการหันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกมากขึ้น
1. อาหารออร์แกนิกมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่า
จากการศึกษาในวารสารเคมีเกษตรและอาหารนักวิจัยพบว่า ผักที่ได้จากเกษตรอินทรีย์มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าถึง 20% นอกจากนี้ งานวิจัยหลายชิ้นในปัจจุบันระบุว่า อาหารออร์แกนิกมีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่าอาหารทั่วไป เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในการปรุงมีสารอาหารและแร่ธาตุจำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี ธาตุเหล็ก และสังกะสี อาหารออร์แกนิกจะเน้นความสดใหม่ของวัตถุดิบเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากอาหารปรุงสำเร็จและอาหารแปรรูปที่ผ่านกระบวนการถนอมอาหารให้มีอายุการเก็บรักษาที่นานขึ้น ทำให้คุณค่าทางโภชนาการและสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติลดลงด้วย
2.ไม่มี‘ยากำจัดศัตรูพืช’ และ‘โลหะหนัก’
British Journal of Nutrition 2014 ระบุว่า พืชที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีโอกาสน้อยมาก ที่อาจปนเปื้อนสารกำจัดศัตรูพืชในระดับที่ตรวจพบได้ รวมถึงโลหะหนักที่เป็นพิษต่อตับและไต คณะกรรมการมาตรฐานอินทรีย์แห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (The National Organic Standard) อนุญาตให้ใช้สารสังเคราะห์บางชนิดในการเกษตรอินทรีย์ดั้งเดิม แม้จะได้รับการพิจารณาว่าปลอดภัยหากใช้ในปริมาณที่กำหนด แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยังเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการสัมผัสกับความเสี่ยงต่อสารเคมีปนเปื้อน ถ้าจะให้ดีเกษตรกรควรงดใช้สารสังเคราะห์ทุกชนิดเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ
ตัวอย่างเช่น Round up ยากำจัดวัชพืชชนิดดูดซึมที่เกษตรกรนิยมใช้ทั่วไป จัดเป็น “ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง” และคลอร์ไพริฟอส (chlorpyrifos) ในยาฆ่าแมลง ที่ส่งผลต่อพัฒนาการล่าช้าในทารก การศึกษายังชี้ให้เห็นว่าสารเคมีตกค้างที่พบในปัสสาวะของเด็กเล็กในสหรัฐอเมริกา อาจส่งผลให้เกิดโรคสมาธิสั้น ตลอดจนคุณภาพของอสุจิที่ลดลงในผู้ชายอีกด้วย ในฐานะผู้บริโภคจึงควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือของฟาร์มก่อนทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่า เราได้เลือกผักและผลไม้ปลอดสารเคมีอย่างที่คาดหวัง
3.ปราศจากยาปฏิชีวนะ และสารเร่งฮอร์โมนในสัตว์
เพื่อเพิ่มผลผลิตสูงสุดและสร้างกำไรมากขึ้น ฟาร์มปศุสัตว์หลายแห่งจึงนิยมฉีดฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ เพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากการเลี้ยงในสภาพแวดล้อมแออัดหรือไม่ถูกสุขอนามัย ซึ่งสารเหล่านี้จะเข้าสู่ร่างกายมนุษย์เมื่อบริโภคเนื้อสัตว์ นม และไข่ ผ่านการพิสูจน์โดยนักวิทยาศาสตร์แล้วว่า ก่อให้เกิดความไม่สมดุลของฮอร์โมน และแบคทีเรียดื้อยาในมนุษย์ ขณะที่ฟาร์มปศุสัตว์อินทรีย์จะไม่ใช้ฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ จึงช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับคนเรา
ศาสตราจารย์ Rolf Halden ผู้อำนวยการศูนย์การออกแบบทางชีวภาพ เพื่อความปลอดภัยด้านสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยแอริโซนา กล่าวว่า สารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์จากสัตว์อาจทำให้เกิดการดื้อยาปฏิชีวนะในมนุษย์ เขายังสนับสนุนให้บริโภคเนื้อสัตว์ นม และไข่จากฟาร์มออร์แกนิก ที่ปราศจากยาปฏิชีวนะและฮอร์โมน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย
4.‘โอเมก้า 3’ สูงกว่า ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง
เนื้อสัตว์และนมออร์แกนิกได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นไขมันที่ดีต่อสุขภาพชนิดไม่อิ่มตัวมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับเนื้อสัตว์และนมจากฟาร์มทั่วไป งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารโภชนาการของอังกฤษเมื่อปี 2016 ระบุว่า นมออร์แกนิกมีไขมันอิ่มตัวน้อยกว่านมทั่วไป นักวิจัยเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่ใช้เลี้ยงสัตว์ หญ้า และฟาร์มเลี้ยงระบบเปิดที่ช่วยให้สัตว์ผ่อนคลาย ทั้งยังเชื่อว่าการเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ทั่วไปมาเป็นเนื้อสัตว์และนมออร์แกนิก สามารถเพิ่มปริมาณโอเมก้า 3 ให้ร่างกายได้อย่างดี โดยไม่เพิ่มจำนวนแคลอรี่หรือไขมันอิ่มตัวที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ก่อนตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์และอาหารมื้อต่อไป คุณอาจจะเพิ่มทักษะความเป็นคนช่างเลือก ช่างสังเกต และยอมลงทุนกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกสักหน่อย เพื่อผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว
อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.news-medical.net/health/Organic-Food-Health-Benefits.aspx , https://time.com/4871915/health-benefits-organic-food/ , https://www.health.harvard.edu/staying-healthy/should-you-go-organic